A.I.Tech เผยกลยุทธ์นำนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง AI และ IoT พลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย

A.I.Tech เผยกลยุทธ์นำนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง AI และ IoT พลิกโฉมอุตสาหกรรมไทย

อัปเดตล่าสุด 28 ม.ค. 2568
  • Share :
  • 346 Reads   

เปิดเส้นทางผู้นำด้านเทคโนโลยีในไทย 

กลุ่มบริษัท A.I. และ A.I. Technology ภายใต้การนำของ นายกุลโชค โพธิ์พัฒนชัย กำลังพลิกโฉมอุตสาหกรรมไทยด้วยการนำนวัตกรรมล้ำสมัยอย่าง AI และ IoT มาใช้ในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการที่ตอบโจทย์ตามแนวทาง ESG พร้อมสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าและสังคม

สร้างนวัตกรรมจากบรรยากาศแห่งการเรียนรู้

นายกุลโชค เชื่อมั่นว่าการสร้างนวัตกรรมเริ่มต้นจากการมองหา “ทิศทางธุรกิจในอนาคต” เพื่อระบุพื้นที่ที่จำเป็นต้องพัฒนา โดยมุ่งเน้นให้เกิดความสามารถในการแข่งขัน ทั้งการจัดเตรียมคน อุปกรณ์ เวลา และทรัพยากรทางการเงิน เพื่อกระตุ้นให้เกิดบรรยากาศที่เอื้อต่อการคิดค้นสิ่งใหม่ ๆ

เขายังเน้นย้ำถึงการสร้างบรรยากาศในองค์กรที่ให้พนักงานแสดงความคิดเห็นได้โดยไม่รู้สึกกังวลต่อความผิดพลาด โดยใช้แนวคิด "Show & Share" ที่ให้พนักงานได้แบ่งปันทั้งความสำเร็จและความล้มเหลวร่วมกัน เพื่อให้เกิดการเรียนรู้และพัฒนาความคิดสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่อง

AI + IoT กุญแจสู่อนาคต

ในมุมมองของนายกุลโชค เทคโนโลยี AI และ IoT คือกุญแจสำคัญที่สร้าง “มูลค่าเพิ่ม” ให้กับผลิตภัณฑ์และบริการ โดย AI ช่วยในการออกแบบและลดความผิดพลาด ในขณะที่ IoT สนับสนุนการเชื่อมโยงข้อมูลแบบเรียลไทม์ ทำให้เกิดการตอบสนองที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ

การนำ AI มาประยุกต์ใช้ร่วมกับ IoT ในการวิเคราะห์ข้อมูลและนำไปสู่การเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) โดยเฉพาะในด้านการตรวจสอบคุณภาพ เหล่านี้ขมวดสู่การพัฒนาแพลตฟอร์ม ซึ่ง A.I. Technology กำลังมุ่งเน้นพัฒนา Automation Process เชื่อมโยงข้อมูลกับกระบวนการผลิตและบริการ ช่วยเพิ่มความคล่องตัว ลดของเสียและการใช้พลังงาน โดยผสานแนวคิด ESG ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การลดต้นทุนไปจนถึงการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้กับพนักงานและชุมชน

Value Added:  เคล็ดลับสร้างความสำเร็จในยุคแข่งขัน

ด้วยความตระหนักถึงสถานการณ์ในประเทศปัจจุบันอยู่ในจุดรายได้ปานกลาง "แก่และจน" ในกรอบ “ESG” นายกุลโชคจึงเสนอว่า เราต้องมี Value added เหล่านี้:

1.นวัตกรรม (Innovation): ช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างโอกาสใหม่ ๆ
2. ระบบอัตโนมัติ (Automation): พัฒนาแพลตฟอร์มเชื่อมโยงระหว่าง Hardware และ Software เพื่อปิด gap และสร้างความครบครอบคลุมในด้าน Supply chain
3. ภาคบริการ (Service): ใช้ Data-driven ในการพัฒนาบริการ เพื่อทำความเข้าใจลูกค้าได้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น นำมาปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า ช่วยให้การตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ได้ดีขึ้นและวัดผลลัพธ์ได้อย่างแม่นยำ

บุคลากรและวัฒนธรรมองค์กร: หัวใจแห่งความสำเร็จ

นอกจากการลงทุนในเทคโนโลยีแล้ว A.I. Technology ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรอย่างต่อเนื่อง โดยเน้นที่การอบรม การลงมือทำจริง (Workshop & OJT) และการประยุกต์ใช้งานจริง โดยมีเป้าหมายเพื่อให้พนักงานสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังมีการตั้งทีม Fa Team (Facilitator Team) ที่ทำหน้าที่สนับสนุนการพัฒนาทักษะของพนักงานมาอย่างต่อเนื่องกว่า 10 ปี

วิถีในการสร้างวัฒนธรรมองค์กรแห่งนี้ได้ส่งเสริมการกระทำโดยอัตโนมัติผ่านกิจกรรม Walk rally สำหรับพนักงานใหม่ให้สอดคล้องกับค่านิยมขององค์กร “ABCDE” ที่พูดถึงการปรับตัว (Adaptive) การทำงานเป็นครอบครัวเดียวกัน (Brotherhood) การมุ่งมั่นประสานงาน (Corporation) การทำงานอย่างทุ่มเท (Dedicated) และมีพลังสดใส (Energetic) เพื่อสร้างแรงจูงใจและความสามัคคีในทีม ในขณะที่การทำงานประจำวันจะส่งเสริมพนักงานให้มี “SPEC” นั่นคือ ช่วยเหลือ (Support) ฝึกฝน (Practice) สนุก (Enjoy) และรักษาเป้าหมาย (Committed) เพื่อบ่มเพาะตัวเองและทีม

ความร่วมมือกับพันธมิตร

นายกุลโชคได้กล่าวถึงความร่วมมือระหว่าง A.I. Technology กับ SCG และสถาบันการศึกษาในด้านการพัฒนานวัตกรรม เช่น Cement 3D Printer และหลักสูตร Automation ที่ร่วมพัฒนากับวิทยาลัยเทคนิคปทุมธานี การสร้างห้องปฏิบัติการในวิทยาลัย สนับสนุนอุปกรณ์การศึกษา รวมถึงความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่าง ๆ เช่น มหาวิทยาลัยบูรพา มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี IoT และ Digital Transformation อีกทั้งยังมีการเปิดรับนักศึกษาฝึกงานจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ 

นอกจากนี้ A.I. Technology ได้ร่วมมือกับสมาคม TARA, JARSIA และ METI จัดหลักสูตร Basic - Advanced Robot Training และทดสอบสมรรถนะตามมาตรฐานอาชีพหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติของญี่ปุ่น (Robot SI) สำหรับบุคลากรในภาคอุตสาหกรรม โดยในปี 2567 ได้จัดอบรมร่วมกับ MITSUBISHI, YASKAWA และ FANUC รวม 11 รุ่น มีผู้เข้าร่วม 78 คน จาก 15 บริษัท SI ไทย นอกจากนี้ ยังเตรียมจัดสอบ Robot SI Exam ระดับ 3 ระหว่างวันที่ 18-21 กุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งคาดว่าจะมีวิศวกรไทยเข้าทดสอบ Pre-Certification ประมาณ 18 คน

ตัวอย่างนวัตกรรมล่าสุด

1. Cement 3D Printer: เครื่องพิมพ์สามมิติสำหรับฉีดซีเมนต์ นวัตกรรมที่ร่วมพัฒนากับหน่วยงาน Research & Innovation บริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCG ซึ่งปัจจุจุบัน A.I. Technology เป็นบริษัทในเครือของ SCG เครื่องพิมพ์ซีเมนต์นี้ทำให้ก้าวข้ามข้อจำกัดในการสร้างผลิตภัณฑ์จากซีเมนต์โดยเฉพาะด้านดีไซน์ และยังช่วยลดต้นทุนการผลิตอีกด้วย

2. นวัตกรรม ASRS/Mini Storage: เสริมประสิทธิภาพการจัดเก็บแบบอัตโนมัติ ด้วยการออกแบบระบบการบริหารจัดการข้อมูล (WMS) ที่เหมาะกับลักษณะงานแต่ละประเภท ร่วมกับการใช้หุ่นยนต์จัดเรียง ลดการใช้แรงงานกว่า 60% เพิ่มความแม่นยำในการจัดเก็บและเรียกสินค้าได้เต็ม 100% ลดเวลาและความผิดพลาดในการทำงาน ยืนยันศักยภาพด้วยทีมงานวิจัยและพัฒนาที่เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมนี้ทำให้สามารถส่งมอบนวัตกรรมที่ใช้งานได้จริงและมีประสิทธิภาพสูง

สรุป

กลุ่มบริษัท A.I. และ A.I. Technology เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของบริษัทไทยที่ประสบความสำเร็จในการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและพัฒนาธุรกิจมานานกว่า 30 ปี ด้วยการลงทุนทั้งในด้านเทคโนโลยีและบุคลากร พร้อมสร้างมูลค่าเพิ่มและสนับสนุนความยั่งยืน

#aigroup #aitech #aitechnology #AI #IoT #ESG #นวัตกรรมไทย #Mreport #ข่าวอุตสาหกรรม