
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์: พลิกแรงกดดันภายนอกให้เป็นโอกาสปฏิรูปองค์กร
อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั้งจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน มาตรการภาษีนำเข้าที่เข้มงวดขึ้น การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและซอฟต์แวร์ (Software-Defined Vehicles: SDV) รวมถึงแรงกดดันจากนักลงทุนให้เพิ่มประสิทธิภาพด้านเงินทุน ปัจจัยเหล่านี้นอกจากจะกดดันผลกำไรในระยะสั้นแล้ว ยังบังคับให้ผู้ผลิตต้องทบทวนโครงสร้างซัพพลายเชนและรูปแบบธุรกิจโดยพื้นฐาน เพื่อปรับตัวรับต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และนวัตกรรมเทคโนโลยีที่พัฒนาอย่างรวดเร็ว การเปลี่ยนแรงกดดันจากภายนอกให้กลายเป็นโอกาสของการปฏิรูปเชิงโครงสร้าง จึงเป็นกุญแจสำคัญของการเติบโตในอนาคต
- Toyota สร้างโรงงานใหม่ในญี่ปุ่น รักษากำลังผลิต 3 ล้านคัน
- Nissan วางแผนปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ หั่นต้นทุน พร้อมลุยสร้างการเติบโตใหม่
แรงกดดันจากนักลงทุนเร่งให้เกิดการปฏิรูปการบริหาร
(1) ผลกระทบจากภาษีต่อสภาพแวดล้อมทางกำไร
นอกจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยืดเยื้อมานาน มาตรการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ยังสร้างแรงกระเพื่อมต่อซัพพลายเชนของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก โดยรายงานล่าสุดระบุว่า ญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ได้บรรลุข้อตกลงเบื้องต้นในการกำหนดอัตราภาษีนำเข้าสินค้าสหรัฐฯ ที่ราว 15% รวมภาษีเดิมเข้าไปด้วย แม้จะลดลงจากระดับ 27.5% ที่เริ่มมีผลในเดือนเมษายน แต่ก็ยังสูงกว่าอัตราเดิม 2.5% อย่างมาก และยังคงเป็นภาระต่อผลกำไรของผู้ผลิตในประเทศ
จากรายงานผลประกอบการล่าสุดของผู้ผลิตรายใหญ่ เช่น Toyota และ Honda คาดว่าผลกระทบจากภาษีอาจทำให้กำไรจากการดำเนินงานลดลงราว 1.4 ล้านล้านเยน และ 450,000 ล้านเยนตามลำดับ แม้ซัพพลายเออร์หลายรายจะพยายามผลักภาระต้นทุนไปยังลูกค้า แต่การเจรจากับผู้ผลิตรถยนต์ก็เป็นไปอย่างยากลำบากท่ามกลางต้นทุนวัตถุดิบ ค่าแรง และโลจิสติกส์ที่พุ่งสูงขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อ หากแนวโน้มกำไรลดลงดำเนินต่อเนื่อง ก็อาจนำไปสู่การทบทวนการบริหารเชิงโครงสร้าง และเร่งให้เกิดการปรับตัวในอุตสาหกรรมเร็วกว่าที่คาด
(2) แรงกดดันจากนักลงทุนและการเร่งปฏิรูปองค์กร
นอกจากการปรับตัวต่อความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์และเทคโนโลยีใหม่ ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตยานยนต์ไฟฟ้าและ SDV แล้ว อุตสาหกรรมยานยนต์ยังเผชิญแรงกดดันจากนักลงทุนที่ต้องการเห็นการใช้เงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตั้งแต่ปี 2023 ตลาดหลักทรัพย์โตเกียวได้เรียกร้องให้บริษัทต่าง ๆ ดำเนิน “การบริหารที่คำนึงถึงต้นทุนทุนและราคาหุ้น” และติดตามความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันจำนวนข้อเสนอจากผู้ถือหุ้นและนักลงทุนเชิงรุก (activist investors) ที่เข้าแทรกแซงนโยบายด้านทุนเพิ่มขึ้นทั้งในญี่ปุ่นและต่างประเทศ การลดการถือครองหุ้นไขว้ระหว่างกลุ่มบริษัทยังสะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันจากภายนอกที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป
ตัวอย่างในต่างประเทศคือ Continental AG ผู้ผลิตชิ้นส่วนรายใหญ่จากเยอรมนี ซึ่งตัดสินใจแยกธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ Tire, Automotive และ ContiTech เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านทุนและมุ่งลงทุนในธุรกิจที่มีศักยภาพสูง โดยจะคงธุรกิจยางรถยนต์เป็นธุรกิจหลัก และแยก Automotive ในปี 2025 รวมถึง ContiTech ในปี 2026 การปรับโครงสร้างครั้งนี้สะท้อนแรงกดดันจากนักลงทุนที่ต้องการลด “ส่วนลดกลุ่มธุรกิจ (Conglomerate Discount)” และให้แต่ละธุรกิจดำเนินงานอย่างอิสระเพื่อสร้างมูลค่าเพิ่ม (ดูรูปที่ 2)
ในญี่ปุ่น การประกาศซื้อกิจการและถอนหุ้นของ Toyota Industries Corporation ก็ได้รับความสนใจอย่างมาก โดยคาดว่ามีเป้าหมายเพื่อกำหนดบทบาทใหม่ภายในกลุ่ม ทำให้การตัดสินใจเร็วขึ้น และมุ่งทรัพยากรไปยังธุรกิจที่เติบโต ขณะเดียวกัน การควบรวมของ Hino Motors และ Mitsubishi Fuso ถูกมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนการปรับโครงสร้างโดย Daimler AG จากเยอรมนี กลุ่ม Toyota เองก็เดินหน้าลดการถือหุ้นไขว้และสร้างความร่วมมือในรูปแบบใหม่ที่ไม่ยึดติดกับโครงสร้างทุนเช่นกัน
วิสัยทัศน์คือกุญแจสร้างมูลค่าองค์กร
(3) การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและแนวทางดำเนินการ
ในสถานการณ์เช่นนี้ ซัพพลายเออร์จำเป็นต้องไม่เพียงเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน แต่ต้องกล้าปฏิรูปเชิงโครงสร้าง เช่น การพัฒนาเทคโนโลยีหลักและขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ท่ามกลางความไม่แน่นอนสูง การมี “วิสัยทัศน์การเติบโตระยะกลางถึงยาว” ที่ชัดเจนจึงมีความสำคัญยิ่ง การตัดสินใจว่า “จะทิ้งอะไร และจะโฟกัสที่อะไร” จะเป็นปัจจัยกำหนดมูลค่าขององค์กรในอนาคต
นอกจากนี้ ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ที่เพิ่มขึ้นยังเป็นโอกาสในการปรับระบบการผลิตและจำหน่ายให้เหมาะกับแต่ละภูมิภาค สหรัฐฯ ดำเนินนโยบาย “America First” ขณะที่ยุโรปเดินหน้าสู่ความพึ่งพาตนเองภายใต้มาตรการ Carbon Border Adjustment Mechanism (CBAM) และกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ส่วนในเอเชีย ผู้ผลิตญี่ปุ่นกำลังลดการพึ่งพาจีน และขยายฐานการผลิตสู่ อินเดียและอาเซียน เพื่อกระจายความเสี่ยง การบริหารจัดการทั้งด้านการเงินและปฏิบัติการในสามภูมิภาคหลักให้เหมาะสม และการสร้างระบบบริหารที่ยืดหยุ่นตามลักษณะธุรกิจของแต่ละตลาด จึงเป็นสิ่งจำเป็น
การลงทุนเชิงกลยุทธ์เพื่อการเติบโตระยะกลางถึงยาว
(4) นโยบายการเติบโตและทิศทางสำคัญ
นอกเหนือจากการปรับโครงสร้างองค์กรแล้ว ซัพพลายเออร์ชิ้นส่วนควรให้ความสำคัญกับ 3 ทิศทางหลักของการเติบโต ดังนี้
1. การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าและระบบอัจฉริยะ
แม้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (BEV) ในสหรัฐฯ จะชะลอตัวจากยอดขาย Tesla ที่ลดลงและการลดสิทธิประโยชน์ทางภาษี แต่ในระดับโลก โดยเฉพาะจีนและยุโรป กระแสการเปลี่ยนผ่านยังคงดำเนินต่อไปอย่างมั่นคง ขณะเดียวกัน การพัฒนายานยนต์ขับขี่อัตโนมัติ (Autonomous Driving) และระบบช่วยขับขั้นสูง (ADAS) ก็กำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง เช่น บริการ Robotaxi ของ Waymo ที่เปิดให้บริการในหลายรัฐของสหรัฐฯ และ Tesla Robotaxi ที่เริ่มให้บริการในรัฐเท็กซัสในปี 2025
ผู้ผลิตญี่ปุ่นที่ยังคงมีกำไรจากยอดขายรถยนต์ไฮบริด (HEV) ควรนำเงินทุนนี้ไปลงทุนต่อยอดในเทคโนโลยี Power Electronics, Software Control และ High-Precision Sensor เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันระยะยาว
2. การสร้างซัพพลายเชนหมุนเวียนและยั่งยืน (Circular Economy)
การใช้วัสดุรีไซเคิล การนำชิ้นส่วนกลับมาใช้ใหม่ และการลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) ตลอดวงจรชีวิตผลิตภัณฑ์ กลายเป็นเงื่อนไขสำคัญในการปฏิบัติตามกฎระเบียบของยุโรปและเป้าหมาย ESG ความเข้าใจใน Carbon Footprint (CFP) และการตรวจสอบย้อนกลับของชิ้นส่วน (Traceability) กำลังกลายเป็น “ข้อกำหนดพื้นฐาน” ของผู้ผลิตรายใหญ่ทั่วโลก ซึ่งซัพพลายเออร์จำเป็นต้องลงทุนในระบบสนับสนุนความยั่งยืนอย่างต่อเนื่อง
3. การพัฒนาธุรกิจใหม่ที่เชื่อมโยงกับ Mobility
โอกาสใหม่กำลังเกิดขึ้นในสาขาใกล้เคียง เช่น พลังงาน (โครงสร้างพื้นฐานชาร์จไฟ ระบบกักเก็บพลังงาน และเทคโนโลยีไฮโดรเจน) รวมถึงหุ่นยนต์ (AGV และหุ่นยนต์ฮิวมานอยด์) ซัพพลายเออร์ควรประเมินว่าจุดแข็งด้านกลไก ไฟฟ้า และระบบควบคุมของตนสามารถต่อยอดสู่ธุรกิจใดได้บ้าง พร้อมสร้างโมเดลธุรกิจใหม่ผ่านความร่วมมือกับภาคซอฟต์แวร์และบริการแบบ SaaS (Software as a Service)
ในยุคที่อุตสาหกรรมยานยนต์กำลังนิยามบทบาทใหม่ และสร้างความร่วมมือที่ไม่ยึดติดกับทุน หากซัพพลายเออร์ยังคงพึ่งพาผู้ผลิตรายเดิมหรือยึดแนวทางการผลิตภายในมากเกินไป อาจสูญเสียโอกาสในอนาคต การมี “วิสัยทัศน์องค์กร” ที่ชัดเจน และการจัดสรรทรัพยากรเชิงกลยุทธ์อย่างแม่นยำ จะเป็นหัวใจสำคัญของการเติบโตในระยะต่อไป การเปลี่ยน “แรงต้านจากภายนอก” ให้กลายเป็น “แรงส่งแห่งการปฏิรูป” อาจเป็นจุดพลิกผันที่ตัดสินว่าใครจะอยู่รอดและเติบโตในยุคใหม่ของอุตสาหกรรมยานยนต์
ที่มา: Nikkan Kogyo Shumbun