มาสด้า ลุยต่อ Sustainable Zoom-Zoom 2030 ประกาศแผนพัฒนาเทคโนโลยีแห่งอนาคต 5 แกนหลัก
มาสด้า (Mazda) ประกาศแผนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมแถลงนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามวิสัยทัศน์ระยะยาว “Sustainable Zoom-Zoom 2030” ประกาศแผนการบริหารงานในระยะกลางรวมถึงนโยบายสำคัญเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050
Advertisement | |
วันที่ 18 มิถุนายน 2564 มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น ออกประกาศเกี่ยวกับแผนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมแถลงนโยบายด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามวิสัยทัศน์ระยะยาว “Sustainable Zoom-Zoom 2030” ล่าสุดได้ประกาศแผนการบริหารงานในระยะกลางรวมถึงนโยบายสำคัญเพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2050 ตามที่เคยประกาศไว้เมื่อปีที่ผ่านมา ตามแผนงาน 5 หัวข้อหลัก ดังนี้
1. สั่งสมองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีตามกลยุทธ์ Building Block Strategy เพื่อการผลิตที่มีประสิทธิภาพขั้นสูง
- มาสด้าได้ปฏิบัติตามกลยุทธ์ Building Block Strategy อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการส่งมอบเทคโนโลยีที่เป็นเลิศผ่านการสร้างรากฐานทางด้านเทคโนโลยีเสมือนดั่งเป็น “บล็อก”
- เริ่มจากการพัฒนา “เทคโนโลยีสกายแอคทีฟ” เมื่อปี 2007 โดยพัฒนาปรับปรุงเครื่องยนต์สันดาปภายใน จากนั้นจึงเพิ่มเทคโนโลยีที่ใช้ระบบไฟฟ้าพื้นฐานเข้ามาใน Building-Block ชิ้นแรก ซึ่งสามารถนำมาใช้ในรถยนต์มาสด้าหลายรุ่น และแพลตฟอร์มนี้ได้กลายมาเป็นองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยีที่นำมาใช้พัฒนาขึ้นเป็นผลิตภัณฑ์ของมาสด้ามาตั้งแต่ปี 2012
- มาสด้ากำลังเดินหน้าพัฒนาเครื่องยนต์สันดาปภายในให้ดียิ่งขึ้น (เครื่องยนต์ SKYACTIV-X และเครื่องยนต์ 6 สูบ แถวเรียง) และเทคโนโลยีที่ใช้พลังงานไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพลตฟอร์ม “SKYACTIV Multi-Solution Scalable Architecture” ซึ่งใช้ TPU (Transverse power units หรือการวางเครื่องตามแนวขวาง) ในรถยนต์ขนาดเล็ก และ LPU (Longitudinal power units หรือการวางเครื่องตามแนวยาว) ในรถยนต์ขนาดใหญ่ ซึ่งจากแพลตฟอร์มนี้ทำให้สามารถพัฒนารถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าได้หลากหลายรูปแบบมากยิ่งขึ้น เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน รวมถึงก้าวผ่านข้อกำหนดทางด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมและโครงสร้างพื้นฐานด้านการผลิตไฟฟ้าในตลาด
- นอกจากนั้น มาสด้าจะทำการเปิดตัวแนะนำแพลตฟอร์ม EV อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของมาสด้า หรือแพลตฟอร์ม “SKYACTIV EV Scalable Architecture” ภายในปี 2025 สำหรับรถยนต์ EVs หลายขนาดและหลายรูปแบบตัวถัง
- จากพื้นฐานกลยุทธ์เหล่านี้ มาสด้าจะทำการปรับปรุงกระบวนการในการพัฒนารถยนต์ที่มีประสิทธิภาพสูง ได้แก่ แนวทาง Common Architecture, Bundled Planning และ Model Based Development เพื่อที่จะเพิ่มองค์ความรู้ทางด้านเทคโนโลยี และเตรียมความพร้อมสำหรับยุครถยนต์ไฟฟ้าแบบเต็มรูปแบบโดยความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจ
2. การส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าและการแนะนำผลิตภัณฑ์ “กลยุทธ์ Multi-Solution”
- ผลิตภัณฑ์ภายใต้แพลตฟอร์ม “SKYACTIV Multi-Solution Scalable Architecture” จะเปิดตัวแนะนำในตลาดหลัก อาทิ ญี่ปุ่น ยุโรป อเมริกา จีน และภูมิภาคอาเซียน ระหว่างปี 2022 – 2025 ซึ่งจะประกอบด้วยรถยนต์ Hybrid1 จำนวน 5 รุ่น, Plug-in hybrid จำนวน 5 รุ่น และรถยนต์ EV จำนวน 3 รุ่น
- นอกจากนั้น มาสด้ายังเตรียมรถยนต์อีกหลายรุ่นที่ถูกพัฒนาภายใต้แพลตฟอร์ม “SKYACTIV Scalable EV Architecture” โดยจะเปิดตัวแนะนำสู่ตลาดในระหว่างปี 2025 – 2030
- จากแผนการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มาสด้าคาดว่าใน 100% ของผลิตภัณฑ์ของมาสด้าจะเป็นรถยนต์ที่มีการใช้พลังงานไฟฟ้าในระดับหนึ่ง โดยสัดส่วนของ EV จะอยู่ที่ประมาณ 25% ภายในปี 2030
Advertisement | |
- มาสด้า สรุปผลงานปีงบฯ 2020 พร้อมเปิดแผนยุทธศาสตร์ ชูแนวคิด One Mazda ตั้งเป้าโต 30%
- เขย่าวงการ ญี่ปุ่นชัดเจน “เลิกขายรถยนต์เบนซิน” ภายในปี 2040
- มาสด้าฝ่ามรสุมโควิด ปิดยอดขายปี'63 เฉียด 4 หมื่นคัน เตรียมส่งปิกอัพใหม่บุกตลาด ตั้งเป้าทะลุ 5 หมื่นคัน
3. การส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัยที่มุ่งเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลางเพื่อสร้างสังคมที่ไร้อุบัติเหตุ
- ตามกลยุทธ์ Building Block Strategy ในเรื่องของเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยนั้น มาสด้ากำลังพัฒนาระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติที่ใช้มนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-Centric Autonomous Driving System) หรือ “Mazda Co-pilot Concept” สำหรับรถยนต์มาสด้ายุคใหม่
- “Mazda Co-Pilot” จะตรวจจับพฤติกรรมของผู้ขับขี่ตลอดเวลา และเมื่อตรวจสอบพบว่าสภาพร่างกายของผู้ขับขี่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างกะทันหัน ระบบจะเปลี่ยนไปใช้โหมดขับเคลื่อนอัตโนมัติเพื่อนำรถเข้าจอดในที่ปลอดภัย และทำการหยุดรถ รวมถึงกดหมายเลขโทรศัพท์ฉุกเฉิน ซึ่งในขณะนี้มาสด้าเรียกว่า Mazda Co-Pilot 1.0 ซึ่งกำลังจัดเตรียมแผนงานและจะเริ่มเปิดตัวแนะนำในรถยนต์ตัวถังขนาดใหญ่ โดยจะเริ่มตั้งแต่ปี 2022 เป็นต้นไป
4. การพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อการบริการเชื่อมต่อและเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ เพื่อเป็นพื้นฐานของการให้บริการระบบขนส่งที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางในอนาคต หรือ Next-Generation Mobility Services
- มาสด้ามีแผนที่จะผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ขั้นพื้นฐาน ให้สามารถรองรับการให้บริการระบบขนส่งที่เชื่อมต่อทุกเส้นทางหรือ Mobility as a Service (Maas) และอัปเดตฟังก์ชันรถยนต์แบบ Over the Air (OTA)
- บริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 ราย ซึ่งเป็นพันธมิตรกับมาสด้า จะร่วมมือกันพัฒนาอุปกรณ์ด้านการสื่อสารภายในรถยนต์เจเนอเรชั่นใหม่ เพื่อผลักดันระบบการสื่อสารที่ได้มาตรฐานให้สามารถส่งมอบการบริการที่ส่งมอบความปลอดภัยได้มากยิ่งขึ้นและปราศจากความเครียดได้เร็วยิ่งขึ้น
- มาสด้าจะผลักดันการพัฒนาเจเนอเรชั่นถัดไปของรถไฟฟ้า Electric/Electronic Architecture (EEA) ที่สามารถประมวลผลข้อมูลจากภายในและภายนอกรถให้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น
5. ปรัชญาของการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered development philosophy) ในช่วงเวลาของการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ และ CASE4
- ตามวิสัยทัศน์ในระยะยาว Sustainable Zoom-Zoom 2030 ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของ 3 องค์ประกอบ ได้แก่ เพื่อโลก เพื่อสังคม และเพื่อผู้คน เราจะยังคงเดินหน้าตามปรัชญาการพัฒนาโดยเน้นมนุษย์เป็นศูนย์กลาง (Human-centered development philosophy) ที่ให้คุณค่ากับมนุษย์และศักยภาพของผู้คน ไปจนถึงการนำไปสู่เป้าหมายในอนาคต นั่นคือ การปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ หรือ zero emission และ CASE จะเป็นตัวกำหนดทิศทางของอุตสาหรรมยานยนต์
- มาสด้ามุ่งมั่นที่จะสร้างสรรสังคมให้เกิดความยั่งยืน และเป็นสังคมที่มีความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน ด้วยการนำเสนอยานพาหนะที่สนับสนุนให้ผู้คนได้ตระหนักถึงศักยภาพของตนอย่างเต็มที่
เพื่อให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ระยะยาวดังกล่าว มาสด้ามุ่งหวังเพื่อก้าวสู่การเป็นแบรนด์รถยนต์ที่สร้างความผูกพันธ์กับลูกค้าในระยะยาว ด้วยการเติมเต็มความมีชีวิตชีวาของลูกค้าจากประสบการณ์ผ่านการเป็นเจ้าของรถยนต์ เพื่อส่งมอบความสุขความสนุกสนานในการขับขี่ซึ่งเป็นแก่นแท้ของรถยนต์
สรุป
มาสด้า (Mazda) ประกาศแผนการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ล่าสุด พร้อมแถลงนโยบายพัฒนาผลิตภัณฑ์ตามวิสัยทัศน์ระยะยาว “Sustainable Zoom-Zoom 2030” ผ่านนโยบาย 5 ข้อหลัก ได้แก่ 1. Building Block Strategy การผลิตประสิทธิภาพสูง 2. ส่งเสริมการใช้พลังงานไฟฟ้าให้มีสัดส่วนของ EV 25% ภายในปี 2030 และเปิดตัวยานยนต์ Multi-Solution รวม 13 รุ่นในปี 2022-2025 3. ส่งเสริมเทคโนโลยีความปลอดภัย Mazda Co-Pilot 4. พัฒนา Mobility Services และ 5. ลดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ให้เป็นศูนย์ Zero Emission และ CASE กำหนดทิศทางของอุตสาหกรรมยานยนต์
Connected การเชื่อมต่อ, Autonomous / Automated driving การขับขี่อัตโนมัติ, Shared การใช้งานร่วม/บริการ, และ Electric การใช้ระบบไฟฟ้า
กลุ่มพันธมิตรบริษัทผู้ผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ในประเทศญี่ปุ่น จำนวน 5 ราย ประกอบด้วย
- มาสด้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น
- ซูซูกิ มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น
- ซูบารุ คอร์ปอเรชั่น
- ไดฮัทสุ มอเตอร์
- โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- นิยามใหม่ SME ปี 63 ใช้ “รายได้” เป็นตัวกำหนด
- กลยุทธ์การ PR และ Communication ในยุคดิจิทัล
- เทคโนโลยีแห่ง G สู่ 5G เครือข่ายไร้สาย
- เทคโนโลยีสำหรับโลจิสติกส์ ทางเลือกสู่ทางรอด ปรับก่อนโดนเบียด
- 8 แนวโน้มการดำเนินธุรกิจในอนาคต (8 Industry’s Mega Trend)
- 10 รับเหมาฝ่าวิกฤตโกยรายได้ปี”62 ITD ยืนหนึ่ง “ซิโน-ไทยฯ” แซงหน้า “ช.การช่าง”
- บอร์กวอร์เนอร์ (BorgWarner) ฉลองเปิดโรงงานแห่งใหม่ที่นิคมฯ อีสเทิร์นซีบอร์ด (ระยอง)
- เซ็นแล้ว! 'อู่ตะเภา-เมืองการบินภาคตะวันออก' เฟสแรกเสร็จปี 67
- ยอดขายรถยนต์เมษายน 2564
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคืออะไร ตลาดจะก้าวไปในทางไหนในปี 2030?
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH