EXIM BANK ผนึก บสย. เติมทุน-ค้ำประกัน เดินเกมเปลี่ยนประเทศไทย ให้สินเชื่อซัพพลายเชนส่งออก-โลจิสติกส์
EXIM BANK ผนึก บสย. เติมทุน-ค้ำประกัน เดินเกมเปลี่ยนประเทศไทย เติมเต็มเศรษฐกิจฐานรากและวงจรธุรกิจส่งออก ดันไทยฟื้นตัวและเติบโตยั่งยืน
เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2565 ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า การส่งออกเป็นเครื่องจักรสำคัญที่จะขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2565 อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่าง รัสเซียกับยูเครนลุกลามจนกลายเป็นสงครามตั้งแต่ช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ได้บั่นทอนทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐิกจโลกและเศรษฐกิจไทย รวมทั้งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงราว 5% นับตั้งแต่เกิดสงคราม เนื่องจากเศรษฐิกจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดและมีความเสี่ยงจะขาดดุลบัญชีเดินสะพัดมากขึ้นจากการนำเข้าน้ำมันในราคาที่สูงขึ้น หลายหน่วยงานเศรษฐกิจคาดการณ์ว่า GDP ประเทศไทยในปี 2565 จะขยายตัวไม่ถึง 3% จากการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวช้ากว่าที่คาด และความเสี่ยงเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น โดยเงินเฟ้อเดือนมีนาคมอยู่ที่ 5.7% สูงสุดในรอบ 13 ปี กดดันกำลังซื้อและต้นทุนการผลิต
กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ความยืดเยื้อของสงครามรัสเซีย-ยูเครนเปรียบเสมือน “มะเร็ง” ที่อาจลุกลามและสร้างแรงกดดันทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อความเชื่อมั่นและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทย แม้ในระยะแรกอาจส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยในวงจำกัด เพราะไทยพึ่งพาการค้ากับรัสเซียและยูเครนเพียง 0.6% (รัสเซีย 0.5% ยูเครน 0.1%) ของมูลค่าการค้ารวมของไทย แต่อาจกดดันการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยวอยู่บ้าง โดยนับตั้งแต่เปิดประเทศเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยวรัสเซียได้กลับเข้ามาในประเทศไทยคิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของจำนวน นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย อย่างไรก็ตาม ภาวะปัจจุบันเศรษฐกิจไทยเริ่มได้รับผลกระทบทางอ้อมด้านราคา (Price Effect) ที่ทำให้ต้นทุนของผู้ประกอบการสูงขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าที่รัสเซียและยูเครน มีส่วนแบ่งในตลาดโลกค่อนข้างมาก ที่เห็นได้ชัดได้แก่ สินค้ากลุ่มพลังงาน โดยราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มขึ้นแล้วกว่า 40% จนเริ่มส่งผลกระทบต่อเนื่องไปยังธุรกิจที่พึ่งพาพลังงานสูง อาทิ การขนส่ง โรงไฟฟ้าพลังงานฟอสซิล เหล็ก ซีเมนต์ รวมถึงกลุ่ม ธัญพืชที่จะกระทบต่อการผลิตอาหาร และกลุ่มแร่หายากที่จะกระทบต่อการผลิตในภาคอุตสาหกรรมตามมา นอกจากนี้ ผลกระทบด้านราคาดังกล่าวยังอาจลุกลามจนกระทบอุปสงค์ในประเทศ การบริโภคถูกกระทบจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น การลงทุนอาจได้รับผลกระทบจากเงินบาทที่อ่อนค่า ทำให้การนำเข้าเครื่องจักรและสินค้าทุนมีราคาแพงขึ้น
- ส.อ.ท. ร่วม 3 ธนาคาร จัดสินเชื่อ Supply Chain Financing วงเงินกว่า 40,000 ล้านบาท ช่วย SMEs
- ครม.เห็นชอบ เพิ่มทุน EXIM BANK 4,198 ล้านบาท ครั้งแรกรอบ 12 ปี
- EXIM BANK เตรียมออก Green Bond หนุนลงทุนพลังงานสะอาด ลดปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
ดร.รักษ์ กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยก้าวข้ามความเสี่ยงดังกล่าวและขยายตัวได้ต่อเนื่อง ผู้ส่งออกไทย ภายใต้โลกยุค Next Normal ต้องพลิกโฉม Supply Chain ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การหาวัตถุดิบ การผลิต การกระจาย สินค้า การขาย และตัวสินค้าเอง กล่าวคือ การหาวัตถุดิบเพื่อป้อนกระบวนการผลิตมุ่งเน้นแหล่งใกล้ ๆ โดยเฉพาะภายในประเทศหรือภูมิภาคเดียวกันมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงด้านการขาดแคลนวัตถุดิบหรือข้อจำกัดของการขนส่ง ข้ามประเทศ การผลิตในแต่ละขั้นตอนเน้นการยกระดับเทคโนโลยี เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและมูลค่าสินค้า การขนส่งและกระจำยสินค้าต้องมีแผนสำรองอยู่เสมอ การขายสินค้าเน้นออนไลน์มากขึ้น สินค้าต้องมีอัตลักษณ์ และสอดรับกับเมกะเทรนด์ยุคใหม่ อาทิ การใส่ใจสิ่งแวดล้อม ขณะที่ผู้ส่งออกไทยพึ่งพาวัตถุดิบในประเทศ (Local Content) เป็นส่วนใหญ่ คิดเป็น 70% ของมูลค่าส่งออกรวม และการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศประสบปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์ ทำให้ค่าขนส่งสินค้าเพิ่มสูงขึ้น ดังนั้น EXIM BANK จึงร่วมกับบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) สนับสนุนให้ผู้ประกอบการใน Supply Chain การส่งออกเข้าถึงแหล่งเิงนทุน เพื่อเสริมสภาพคล่องและยกระดับคุณภาพธุรกิจ ตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ สร้างผู้ผลิตเพื่อผู้ส่งออก ผู้ส่งออก และผู้ให้บริการโลจิสติกส์ตลอดทั้งกระบวนการของธุริกจ ส่งออกและที่เกี่ยวเนื่องให้แข็งแกร่งและแข่งขันได้ในระดับสากล
ในโอกาสนี้ ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK และนยสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการ และผู้จัดการทั่วไป บสย. จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เป็นนวัตกรรมการให้สินเชื่อแก่ Supply Chain การส่งออก โดยนำ บสย. เข้ามาแทนหลักทรัพย์ค้ำประกันโดยสมบูรณ์และปลดล็อกให้ “บุคคล” สามารถกู้เงินทำธุรกิจเพื่อส่งมอบวัตถุดิบให้ผู้ส่งออก เติมเต็มสภาพคล่องให้แก่ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ เพื่อกระตุ้นการส่งออกของไทยท่ามกลางปัจจัยท้าทายในปัจจุบัน
- สินเชื่อเอ็กซิมเพื่อซัพพลายเออร์ส่งออกสำหรับนิติบุคคลและบุคคลที่ผลิตจำหน่ายสินค้าและบริการ ให้แก่ผู้ส่งออกและผู้ประกอบการที่ยังไม่พร้อมดำเนินธุรกิจส่งออกวงเงินกู้สูงสุด 5 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ย Prime Rate (เท่ากับ 5.75% ต่อปี ณ ปัจจุบัน) ตลอดอายุโครงการ 5 ปี ใช้เพียงหนังสือค้ำประกัน บสย. ร่วมกับผู้บิรหารหลัก และ/หรือ นิติบุคคลค้ำประกัน พิเศษ! ลดดอกเบี้ยอีก 0.75 % ในปีแรก สำหรับกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve ธุรกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือมีเอกสารรับรองคาร์บอนฟุตพริ้นท์ตามที่ธนาคารกำหนด
- สินเชื่อ EXIM Logistics สำหรับผู้ให้บริการรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ ทั้ง ทางเรือ ทางบก และทางอากาศ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย อัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 5.0% ต่อปีในปีแรก สำหรับวงเงินไม่เกิน 5 ล้านบาท สามารถใช้เพียงหนังสือค้ำประกัน บสย. ร่วมกับบุคคลหรือนิติบุคคลค้ำประกันเท่านั้น พิเศษ! ลดดอกเบี้ย อีก 0.50% ใน 2 ปีแรก สำหรับผู้เข้าร่วมงานและลงทะเบียนในกิจกรรมต่าง ๆ ของ EXIM BANK หรืออยู่ในสมาคมหรือเป็นสมาชิกตามที่ธนาคารกำหนด
ผู้สนใจสามารถขอรับบิรการได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 31 มีนาคม 2566 สอบถาม EXIM Contact Center โทร. 0 2169 9999 พิเศษ! หากขอสินเชื่อภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2565 รับส่วนลดดอกเบี้ยอีก 0.25% ต่อปีในปีแรก ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ ค่าธรรมเนียม Front-end Fee รวมลดเหลือเพียง 1% จากเดิม 2% กรณีใช้ บสย. ค้ำประกันร่วม เพื่อลดภาระผู้ประกอบการเพิ่มเติม
“ท่ามกลางปัจจัยท้าทายรอบด้าน EXIM BANK ยังมุ่งสู่บทบาทธนาคารเพื่อการพัฒนาแห่งประเทศไทย เร่งเดินหน้า สานพลังกับพันธมิตร อาทิ บสย. ซึ่งทั้ง สองหน่วยงานอยู่ระหว่างพัฒนาเครื่องมือในการประเมินคุณภาพสินเชื่อ (Credit Scoring) และส่งต่อลูกค้าระหว่างกัน (Referral) เพื่อให้สามารถบริการแก่ผู้ประกอบการได้สะดวก รวดเร็ว และง่ายยิ่งขึ้น เร่งฟื้นเศรษฐิกจไทยและต่อยอดการพัฒนาประเทศไปสู่ความยั่งยืน โดยใช้จุดแข็งของทั้งสององค์กรทำหน้าที่ซ่อม สร้าง และเสริมให้เศรษฐกิจตั้งแต่ระดับบุคคล ครัวเรือน ชุมชน ไปจนถึงโรงงานสามารถเติบโตและแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ใช้ศักยภาพของตนเองบวกกับความได้เปรียบของประเทศเข้าถึงโอกาสใหม่ ๆ ทางธุรกิจ ทั้งภายในและภายนอกประเทศอย่างไร้พรมแดน สร้างเสน่ห์ของสินค้าไทยตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคทั่วโลกที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เทคโนโลยีดิจิทัล และสุขภาพมากขึ้น สร้างเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน และเศรษฐกิจสีเขียวหรือ BCG Economy โดยสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมไปด้วยกันอย่างยั่งยืน” ดร.รักษ์ กล่าว
ด้านนายสิทิธกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บสย. กล่าวว่า บสย. พร้อมจับมือพันธมิตรเพื่อให้การสนับสนุนผู้ประกอบการธุรกิจส่งออก และภาคธุรกิจที่เกี่ยวข้อง โดยมีวงเงินค้ำประกันรวม 94,000 ล้านบาท ผ่านโครงการ ค้ำประกันสินเชื่อ Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 9 (PGS 9) ประกอบด้วย 3 โครงการสำคัญ ดังนี้
- โครงการ บสย. SMEs นำเข้ำ-ส่งออก วงเงิน 1,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปี
- โครงการ บสย. SMEs เติมเต็มรายย่อย วงเงิน 8,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม 3 ปี
- โครงการ บสย. SMEs ดีแน่นอน วงเงิน 85,000 ล้านบาท ฟรีค่าธรรมเนียม 2 ปี
วงเงินค้ำประกันจำนวน 94,000 ล้านบาทจะก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบอย่างน้อย 116,000 ล้านบาท สามารถช่วยเหลือ SMEs ได้จำนวน 20,600 ราย และยังช่วยรักษาการจ้างงานในระบบกว่า 600,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ถือเป็นภาระกิจสำคัญที่ บสย. ต้องเร่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ผู้สนใจสามารถติดต่อได้ตั้งแต่บัดนี้ถึง 30 พฤศิจกายน 2565 สอบถามศูนย์ที่ปรึกษาทางการเงิน SMEs บสย. F.A.Center โทร. 0 2890 9999 หรือ Line @doctor.tcg
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- 10 ตัวอย่างที่นำ 5G มาใช้งานได้อย่างน่าสนใจและประสบผลสำเร็จ
- เทคโนโลยีแห่ง G สู่ 5G เครือข่ายไร้สาย
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคืออะไร ตลาดจะก้าวไปในทางไหนในปี 2030?
- เทคโนโลยีสำหรับโลจิสติกส์ ทางเลือกสู่ทางรอด ปรับก่อนโดนเบียด
- นิยามใหม่ SME ใช้ “รายได้” เป็นตัวกำหนด
- ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ปี 2564
- กลยุทธ์การ PR และ Communication ในยุคดิจิทัล
- ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน เจาะลึกตู้สินค้าหายไปไหน?
- เทรนด์การทำงานในอนาคต หลังไทยติดโควิด นานเกือบสองปี!
- FTA ไทย มีกี่ประเทศ พอหรือไม่ ทำไมต้องคิดเรื่อง CPTPP
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH