5 สิ่งที่ ‘ผู้ผลิตชิ้นส่วน ต้องรู้และทำเป็น’ เพื่อเข้าสู่ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ 1 ใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย (New S curve) ที่ได้รับการส่งเสริมจากภาครัฐ เพื่อขับเคลื่อนนโยบายไทยแลนด์ 4.0 และดันประเทศไทยให้เป็น ศูนย์กลางสุขภาพนานาชาติ (Medical Hub) แห่งเอเซียภายในปี 2568 กอปรกับการเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุและการเข้าสู่ สังคมผู้สูงอายุ (Aging Society) จึงทำให้นักลงทุนและผู้ประกอบการหันมาให้ความสนใจในธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับเครื่องมือแพทย์ ซึ่งรวมถึงผู้ผลิตชิ้นส่วนที่เล็งเห็นถึงความได้เปรียบของตนในการเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ด้วยองค์ความรู้ ทักษะ และเครื่องจักรอุปกรณ์ ที่มีอยู่จึงสนับสนุนแนวคิดดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
สำหรับบทความนี้ เรานำข้อแนะนำจากบริษัทด้านโลหะการที่ผันตัวเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ในประเทศญี่ปุ่น มาแบ่งปันให้ผู้ประกอบการไทยได้นำไปใช้ประโยชน์
Mr. Masuo Hiroshige ผู้จัดการ Technical Center บริษัท Metal Technology
Mr. Masuo Hiroshige ผู้จัดการ Technical Center - Metal Technology บริษัทด้านโลหะการสัญชาติญี่ปุ่น แสดงความเห็นว่า “องค์ความรู้จากงานโลหะการที่สามารถนำมาปรับใช้ในการเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ได้ คือ การกัดชิ้นงาน, การเชื่อม, และการขึ้นรูป ซึ่งในครั้งนี้ ทางบริษัทได้เลือกใช้ข้อมูล CT Scan และเทคโนโลยี Metal 3D Printing ในการผลิต Implant สำหรับกระดูก เนื่องจากเล็งเห็นว่า เทคโนโลยีนี้มีอิสระในการออกแบบ สามารถผลิตชิ้นงานให้ตรงกับความต้องการของคนไข้แต่ละคนได้”
การผลิต Implant สำหรับกระดูก ซึ่งเป็นชิ้นงานที่มีความซับซ้อนสูงนั้น หากนำ 3D Printer มาใช้ในการผลิต จะช่วยลดเวลาได้เป็นอย่างมาก จากวิธีดั้งเดิมที่ผลิตโดยการแมชชีนนิ่งด้วยเครื่องจักรกล (Machine Tools) ใช้เวลาผลิต 2-3 วัน แต่เมื่อเปลี่ยนมาใช้เทคโนโลยี 3D Printing แล้วจะใช้เวลาในการผลิตเพียง 1 วันเท่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เลือกใช้ไทเทเนียมเป็นวัสดุ ซึ่งเนื้อของไทเทเนียมสามารถกัดได้ยาก ทำให้ต้นทุนการผลิตผ่าน Machine Tools สูง
Etsuko Ayaka ประธานบริษัท Ammtec แสดงความเห็นว่า “ปัจจุบันการใช้งาน 3D Printer เป็นที่แพร่หลายมากขึ้นในอุตสาหกรรมอากาศยาน อย่างไรก็ตาม การนำมาใช้ในอุตสาหกรรมเครื่องมืแพทย์ยังมีน้อย โดย สาเหตุที่ไม่แพร่หลายในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ เกิดจากการขาดแคลนทักษะ เนื่องจากผู้ใช้ 3D Printer จำเป็นต้องมีความสามารถในการทำงานระดับสูง เนื่องจากชิ้นงานต้องการคุณภาพที่มีความเที่ยงตรงที่สุด”
Etsuko Ayaka ประธานบริษัท Ammtec
Metal Technology แสดงความเห็นว่า ในการผลิตเครื่องมือแพทย์นั้น ทักษะที่จำเป็นไม่ได้มีเพียงทักษะทางด้านโลหะการเท่านั้น แต่งาน Post Process อย่าง Surface Treatment และ Vacuum Heat Treatment เองก็จำเป็นไม่แพ้กัน ซึ่งบริษัทที่มีทักษะเหล่านี้อยู่แล้ว จะสามารถนำมาช่วยในการสร้างความได้เปรียบให้เกิดขึ้นได้
Mr. Masuo Hiroshige กล่าวต่อว่า ในอุตสาหกรรมการแพทย์ การตรวจสอบคุณภาพสินค้ามีความเข้มงวดมาก ดังนั้นการหาพาร์ทเนอร์ที่มีประสบการณ์ในอุตสาหกรรมการแพทย์จะเป็นอีกปัจจัยที่ควรให้ความสำคัญ
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอากาศยานก็มีความเป็นไปได้ที่สามารถขยับขยายเข้าสู่อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ซึ่งการผลิตชิ้นงานมีมาตรฐานสูงเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โดยเปรียบเทียบว่า
อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ และอุตสาหกรรมอากาศยาน มีจุดที่เหมือนกันคือ “ความรับผิดชอบ” ต่อชีวิตของผู้ใช้สินค้า ซึ่งในรายหนึ่งคือคนไข้ และอีกรายคือผู้โดยสาร
ดังนั้น การมีเทคโนโลยีการผลิตชิ้นงานคุณภาพสูงนี้เอง ที่สามารถใช้เป็นจุดขายในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ได้อย่างมากอีกด้วบ
สิ่งที่ผู้ผลิตชิ้นส่วน "ต้องรู้และทำเป็น" เพื่อเข้าสู่ อุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ได้แก่
- ความรู้และทักษะ ด้านโลหะการ โดยเฉพาะการกัดชิ้นงาน การเชื่อม และการขึ้นรูป
- เทคโนโลยี Metal 3D Printing
- งาน Post Process เช่น Surface Treatment และ Vacuum Heat Treatment
- เทคโนโลยีการผลิตชิ้นงานคุณภาพสูง
- ความรับผิดชอบต่อชีวิตของผู้ใช้สินค้า