
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนพฤษภาคม 2568 ร่วงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ต่ำสุดในรอบกว่า 2 ปี!
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคประจำเดือนพฤษภาคม 2568 ลดลงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 27 เดือน ท่ามกลางแรงกดดันจากสงครามการค้าและภาวะค่าครองชีพสูง ผู้บริโภคกังวลเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า แม้มาตรการกระตุ้นและการลดดอกเบี้ยยังไม่ช่วยฟื้นความมั่นใจ
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเมษายน 2568 ดิ่งต่อเนื่อง 3 เดือน ต่ำสุดในรอบ 7 เดือน!!
- ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนมีนาคม 2568 ร่วงต่อเนื่อง ผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 กำลังซัดเศรษฐกิจไทย?
ดัชนีความเชื่อมั่น ของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2568 จัดทำโดยศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยและหอการค้าไทย ได้ดำเนินการโดยออกแบบสอบถามตัวอย่างจากประชาชนทั่วประเทศเป็นจำนวน 2,242คน แยกเป็นกลุ่มตัวอย่างในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 40.2% และต่างจังหวัด 59.8% โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นเพศชาย และเพศหญิง ประมาณ 49.9% และ 50.1% ตามลำดับ
ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย
ปัจจัยด้านบวก
- คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการลดค่าธรรมเนียมจดทะเบียนสิทธิและนิติกรรมสำหรับที่อยู่อาศัย โดยลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์จาก 2.00% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนการจำนองอสังหาจาก 1.00% เหลือ 0.01% ที่มีราคาซื้อขายและราคาประเมินไม่เกิน 7 ล้านบาทและวงเงินจำนอง ไม่เกิน 7ล้านบาทต่อสัญญา เพื่อช่วยส่งเสริมให้ประชาชนมีที่อยู่อาศัยเป็นของตัวเองช่วยรักษาระดับกิจการทางเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกัน รวมถึงส่งเสริมการลงทุนภายในประเทศให้เกิดการจ้างงานและการผลิต
- การส่งออกของไทยในเดือนเมษายน 2568 มีมูลค่า 25,625.08 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 10.18% ขณะที่การนำเข้ามีมูลค่า 28,946.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 16.08% ส่งผลให้ขาดดุลการค้า 3,321.34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้ช่วง 4 เดือนแรกปี 2568 ส่งออกได้รวม 107,157.42 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13.98% และมีการนำเข้ารวม 109,397.76 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 9.59% ส่งผลให้ดุลการค้ารวม 2,240.34 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
- ระดับราคาน้ำมันขายปลีกในประเทศปรับตัวลดลง โดยราคาน้ำมันขายปลีกแก๊สโซฮอล ออกเทน 91 (E10) และแก๊สโซฮอล ออกเทน 95(E10) ปรับตัวลดลงประมาณ 0.30 และ 0.30 บาทต่อลิตร จากระดับ 32.48 และ 32.85 บาทต่อลิตร ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 ตามลำดับ มาอยู่ที่ระดับ 32.18 และ 32.55 บาทต่อลิตร สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ ส่วนราคาน้ำมันดีเซลขายปลีก ในประเทศยังคงทรงตัวจากเดือนที่มา โดยที่ระดับ 31.94 บาทต่อลิตร สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 ตามลำดับ
- จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทยจำนวนมากขึ้นหลังจากการเปิดประเทศตลอดจนยกเว้น การยื่นวีซ่านักท่องเที่ยวรวมการขยายระยะเวลาการพำนักของนักท่องเที่ยวส่งผลให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในประเทศมากขึ้นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภูมิภาคต่างๆ ปรับตัวดีขึ้น
- ราคาพืชผลทางการเกษตรหลายรายการปรับตัวดีขึ้น หรือทรงตัวในระดับที่ดีเกือบทุกรายการสำคัญส่งผลให้เกษตรกรเริ่มมีรายได้สูงขึ้น อย่างไรก็ดีราคาข้าว มันสำปะหลัง และยางพารา มีราคาที่ไม่ค่อยดี
- เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย จากระดับ 33.746 บาทต่อ ดอลลารส์หรัฐฯ ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 เป็น 32.934 บาทต่อ ดอลลารส์หรัฐฯ ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568 สะท้อนว่ามีการไหลเข้าสุทธิของเงินตราต่างประเทศ
ปัจจัยด้านลบ
- สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เผยภาวะเศรษฐกิจไทยไตรมาสที่ 1/2568 ขยายตัวต่อเนื่องที่ 3.1% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากปัจจัยชั่วคราว ทั้งการเร่งส่งออกก่อนการขึ้นภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ และการลงทุนภาครัฐที่ฐานต่ำกว่าปีก่อนจากการเบิกจ่ายที่ล่าช้าทั้งนี้ได้ปรับตัวลดการคาดการณ์เศรษฐกิจไทยในปี 2568 ลงเหลือ 1.3-2.3% (ค่ากลางอยู่ที่ 2.8%) สาเหตุหลักเนื่องจากแรงกดดันด้านการค้าโลกโดยเฉพาะผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ภาระหนี้ครัวเรือนและภาคธุรกิจในระดับสูงและมีแนวโน้มชะลอตัวลงในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ตามแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก
- ความกังวลต่อแนวทางนโยบายเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกาและการโต้ตอบของประเทศต่างๆที่ได้รับผลกระทบของนโยบายTrump 2.0
- ผู้บริโภคมีความรู้สึกว่าเศรษฐกิจยังฟื้นตัวช้าตลอดจนปัญหาค่าครองชีพรวมถึงผู้บริโภคยังรู้สึกว่ารายได้ในปัจจุบันไม่สอดคล้องกับค่าของชีพที่ปรับตัวสูงขึ้น
- ราคาข้าวเปลือกเจ้า มันสำปะหลัง และปาล์มน้ำมัน อยู่ในระดับต่ำกว่าปีที่ผ่านมา อาจส่งผลให้เกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้นไม่มากนัก มีผลกระทบต่อกำลังซื้อในบางพื้นที่ต่างจังหวัดในระยะนี้
- SET Index ในเดือนพฤษภาคม 2568 ปรับตัวลดลง 48.08 จุด โดยปรับตัวลดลงจาก 1,197.26 จุด ณ สิ้นเดือนเมษายน 2568 เป็น 1,149.18 จุด ณ สิ้นเดือนพฤษภาคม 2568
- ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ของโลกที่ยังยืดเยื้อ ทั้งสถานการณ์สงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน การสู้รบระหว่างอิสราเอลและขบวนการฮามาส (Hamas) ตลอดจนสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่รุนแรงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาน้ำมันและพลังงานโลกยังทรงตัวสูง และกระทบต่อต้นทุนการผลิตสินค้า ซึ่งอาจเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันของการฟื้นตัวของระบบเศรษฐกิจโลกให้ช้าลงและชะลอตัวลง และอาจส่งผลกระทบในเชิงลบต่อการส่งออกและเศรษฐกิจไทยในอนาคต
จากผลของการสำรวจความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในเดือนพฤษภาคม 2568 ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา เนื่องจากผู้บริโภคมีความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้าจากนโยบาย Trump 2.0 และรู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยกำลังชะลอตัวอย่างต่อเนื่อง แม้ว่ารัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้และธนาคารแห่งประเทศไทยได้ใช้นโนบายการเงินผ่อนคลายจากการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว 2 ครั้งรวม 0.5% โดยแต่ผู้บริโภครู้สึกว่าเศรษฐกิจไทยยังฟื้นตัวได้ช้าและการเข้าถึงสินเชื่อลำบาก
ทั้งนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจโดยรวม ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับโอกาสหางานทำโดยรวม และดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตอยู่ที่ระดับ 48.1 51.9 และ 62.7 ตามลำดับ ปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 โดยปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับดัชนีในเดือนเมษายน ที่อยู่ในระดับ 49.3 53.0 และ 63.9 ตามลำดับ การที่ดัชนียังอยู่ในระดับต่ำกว่าปกติ (ที่ระดับ 100) แสดงว่า ผู้บริโภคยังไม่มีความมั่นใจเกี่ยวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจ โอกาสในการหางานทำ และรายได้ในอนาคต เพราะมีความกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองในประเทศ และค่าครองชีพที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับสูง ตลอดจนปัญหาเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงเข้าสู่ภาวะชะลอตัวลงจากสงครามการค้าที่กำลังเกิดขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบให้เศรษฐกิจไทยและการจ้างงานมีโอกาสฟื้นตัวได้ช้าในอนาคต ซึ่งจะทำให้รายได้ในอนาคตของผู้บริโภคมีความไม่แน่นอนสูง
ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคของผู้บริโภค (Consumer Confidence Index: CCI) ปรับตัวลดลงจากระดับ 55.4 เป็น 54.2 ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 และอยู่ในระดับที่ต่ำสุดในรอบ 27 เดือนนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2566 เป็นต้นมา การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคโดยรวมยังคงเคลื่อนไหวคงอยู่ต่ำกว่าระดับ 100 แสดงให้เห็นว่า ผู้บริโภคยังคงเห็นว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโดยรวมยังคงฟื้นตัวช้า และค่าครองชีพสูง ตลอดจนปัญหาสงครามการค้าที่มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ยังคงมีโอกาสบั่นทอนความเชื่อมั่นของผู้บริโภคทั้งในปัจจุบันและในอนาคตได้อย่างต่อเนื่องในระยะอันใกล้นี้
ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในปัจจุบันปรับตัวลดลงจากระดับ 39.8 เป็น 38.8 ขณะที่ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตปรับตัวลดลงจากระดับ 62.9 มาอยู่ที่ระดับ 61.7 การที่ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคปรับตัวลดลงทุกรายการต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 แสดงว่า ผู้บริโภคเริ่มมีความเชื่อมั่นของบริโภคลดลงได้ในอนาคตหากสงครามการค้ารุนแรงขึ้นและเศรษฐกิจไม่สามารถจะกลับมาฟื้นตัวดีขึ้นได้อย่างรวดเร็วภายใต้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
#ดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภค #เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #อุตสาหกรรมไทย #MReportTH #IndustryNews
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- ยอดขายรถยนต์ 2567
- 10 อันดับธุรกิจดาวรุ่ง ปี 2568
- คาร์บอนเครดิต คือ
- ยอดขายมอเตอร์ไซด์ 2567
- “ยานยนต์ไร้คนขับ” กับทิศทางการเติบโตในปี 2022-2045
- ยอดลงทุนปี 67 ทะลุ 1 ล้านล้านบาท สูงสุดเป็นประวัติการณ์
- ยอดจดทะเบียนใหม่ยานยนต์ไฟฟ้า 2567
- สถิติส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนไทยปี 2567
- เทคโนโลยีในงานโลจิสติกส์ มีอะไรบ้าง
- 5 เทคนิค “มือใหม่ใช้เครื่อง CNC”
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH