ส่งออกไทย 2566 เดือนมิถุนายน (มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์, ส่งออกไทย 2566 ครึ่งปีแรก

ส่งออกไทย 2566 เดือน มิ.ย. หดตัว 6.4% ลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 9

อัปเดตล่าสุด 28 ก.ค. 2566
  • Share :

สถานการณ์ส่งออกในเดือนมิถุนายน 2566 ไทยทำตัวเลขส่งออกอยู่เหนือระดับ 2.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ หดตัว 6.4% เมี่อเทียบกับเดือนเดียวกันปีก่อน ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9

วันที่ 26 กรกฎาคม 2566 นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยตัวเลขการส่งออกเดือนมิถุนายน 2566 มีมูลค่า 24,826.0 ล้านเหรียญสหรัฐ (848,927 ล้านบาท) หดตัวร้อยละ 6.4 หากหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.9 โดยภาวะเศรษฐกิจของประเทศคู่ค้ายังคงซบเซาจากแรงกดดันด้านอัตราเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับสูง ทำให้การผลิตและ
การบริโภคยังคงตึงตัว ขณะที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของตลาดจีนค่อนข้างช้ากว่าที่คาด

นอกจากนี้ คู่ค้าส่วนใหญ่ชะลอการสั่งซื้อสินค้าจากผลกระทบของการหดตัวทางด้านอุปสงค์ มีการเร่งระบายสินค้าคงคลังมากขึ้น ส่งผลให้คำสั่งซื้อและการผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง แต่ยังคงมีปัจจัยบวกจากค่าเงินบาทอ่อนค่า ช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของผู้ส่งออกในระยะนี้และกระแสความมั่นคงทางอาหารทำให้สินค้าบางรายการยังขยายตัวดี อาทิ ไก่สดแช่เย็นแช่แข็ง ผักกระป๋อง และผักแปรรูป ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็งและแห้ง ไข่ไก่ ซาร์ดีนกระป๋อง น้ำตาลทราย
เป็นต้น ทั้งนี้ การส่งออกไทยครึ่งแรกของปี 2566 หดตัวร้อยละ 5.4 และเมื่อหักสินค้าเกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน ทองคำ และยุทธปัจจัย หดตัวร้อยละ 2.3

สรุปมูลค่าการค้ารวม

มูลค่าการค้าในรูปเงินดอลลาร์สหรัฐ เดือนมิถุนายน 2566 การส่งออก มีมูลค่า 24,826.0 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 6.4 เทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 24,768.4ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 10.3 ดุลการค้า เกินดุล 57.7 ล้านเหรียญสหรัฐ ภาพรวมครึ่งแรกของปี 2566 การส่งออก มีมูลค่า 141,170.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 5.4 เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน การนำเข้า มีมูลค่า 147,477.9 ล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 3.5 ดุลการค้าครึ่งแรกของปี 2566 ขาดดุล 6,307.6 ล้านเหรียญสหรัฐ

การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร

มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 8.6 (YoY) หดตัวต่อเนื่อง 2 เดือน โดยสินค้าเกษตรหดตัวร้อยละ 7.4 และสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 10.2 แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว ได้แก่ ผลไม้สด แช่เย็น แช่แข็ง และแห้ง ขยายตัวร้อยละ 14.2 กลับมาขยายตัวหลังจากหดตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย สหรัฐฯ เกาหลีใต้ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) น้ำตาลทราย ขยายตัวร้อยละ 31.4 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ ลาว และไต้หวัน) เครื่องดื่ม ขยายตัวร้อยละ 8.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 5 เดือน (ขยายตัวในตลาดเวียดนาม เมียนมา จีน ลาว และมาเลเซีย) ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง ขยายตัวร้อยละ 10.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 13 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน มาเลเซีย เกาหลีใต้ เนเธอร์แลนด์ และสหราชอาณาจักร) ไอศกรีม ขยายตัวร้อยละ 11.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดมาเลเซีย สิงคโปร์ กัมพูชา สหรัฐฯ และอินเดีย)

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ ข้าว หดตัวร้อยละ 15.0 หดตัวในรอบ 6 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ แอฟริกาใต้อิรัก ฮ่องกง และแคนาดา แต่ขยายตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย จีน โมซัมบิก และเกาหลีใต้) อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 16.7 หดตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย แคนาดา และแอฟริกาใต้ แต่ขยายตัวในตลาดลิเบีย ซาอุดีอาระเบีย อิสราเอล จีน และกัมพูชา) ผลิตภัณฑ์มันสำปะหลัง หดตัวร้อยละ 16.7 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดจีน ญี่ปุ่น มาเลเซีย อินโดนีเซีย และสหรัฐฯ แต่ขยายตัวในตลาดไต้หวัน เกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ อินเดีย และเวียดนาม) ยางพารา หดตัว้อยละ 43.0 หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (หดตัวในตลาดจีน สหรัฐฯ มาเลเซีย ญี่ปุ่น และตุรกี แต่ขยายตัวในตลาดอียิปต์) อาหารสัตว์เลี ยง หดตัวร้อยละ 16.1 หดตัวต่อเนื่อง 8 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และออสเตรเลีย แต่ขยายตัวในตลาดเวียดนาม ไต้หวัน อินโดนีเซีย อินเดีย และสหราชอาณาจักร) ผลไม้กระป๋องและแปรรูป หดตัวร้อยละ 22.5 กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย และไต้หวัน แต่ขยายตัวในตลาดจีน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อิหร่าน ลาว
และเม็กซิโก) ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ หดตัวร้อยละ 80.8 หดตัวต่อเนื่อง 3 เดือน (หดตัวในตลาดอินเดีย เมียนมา มาเลเซีย ญี่ปุ่น และกัมพูชา แต่ขยายตัวในตลาดเกาหลีใต้ ฟิลิปปินส์ เนเธอร์แลนด์ ฮ่องกง และสหรัฐฯ) ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร หดตัวร้อยละ 2.8

การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม

มูลค่าการส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ  4.6 (YoY) กลับมาหดตัวอีกครั้ง หลังจากที่ขยายตัวเมื่อเดือนก่อนหน้า แต่ยังมีสินค้าสำคัญที่ขยายตัว อาทิ รถยนต์ อุปกรณ์ และส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 7.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 6 เดือน (ขยายตัวในตลาดออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่น มาเลเซีย และซาอุดีอาระเบีย) แผงวงจรไฟฟ้า ขยายตัว 5.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดไต้หวัน จีน สหรัฐฯ ญี่ปุ่น และฟิลิปปินส์) อัญมณีและเครื่องประดับ (ไม่รวมทองคำ) ขยายตัวร้อยละ 31.2 ขยายตัวต่อเนื่อง 2 เดือน (ขยายตัวในตลาดฮ่องกง สวิตเซอร์แลนด์ ญี่ปุ่น จีน และอิตาลี) อุปกรณ์กึ่งตัวนำ ทรานซิสเตอร์ และไดโอด ขยายตัวร้อยละ 68.7 ขยายตัวต่อเนื่อง 12 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ อินเดีย เกาหลีใต้กัมพูชา และมาเก๊า) หม้อแปลงไฟฟ้าและส่วนประกอบ ขยายตัวร้อยละ 46.8 ขยายตัวต่อเนื่อง 20 เดือน (ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ เนเธอร์แลนด์ อิตาลีฮ่องกง และไต้หวัน) เครื่องใช้สำหรับเดินทาง ขยายตัวร้อยละ 30.3 ขยายตัวต่อเนื่อง 28 เดือน (ขยายตัวในตลาดจีน สิงคโปร์ อินเดีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง)

ขณะที่สินค้าสำคัญที่หดตัว อาทิ สินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน หดตัวร้อยละ 21.7 หดตัวต่อเนื่อง 11 เดือน (หดตัวในตลาดเวียดนาม สิงคโปร์กัมพูชา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย แต่ขยายตัวในจีน อินเดีย ฮ่องกง ปากีสถาน และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์) เครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ หดตัวร้อยละ 20.1 หดตัวต่อเนื่อง 9 เดือน (หดตัวในตลาดสหรัฐฯ ฮ่องกง จีน เนเธอร์แลนด์และญี่ปุ่น แต่ขยายตัวในตลาดสิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย เยอรมนี และอินเดีย) เหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์หดตัวร้อยละ 9.0 หดตัวต่อเนื่อง 10 เดือน (หดตัวในตลาดอินโดนีเซีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย เวียดนาม และเกาหลีใต้ แต่ขยายตัวในตลาดสหรัฐฯ นอร์เวย์ ญี่ปุ่น อินเดีย และจีน) ทั้งนี้ ครึ่งแรกของปี 2566 การส่งออกสินค้าอุตสาหกรรม หดตัวร้อยละ 5.3

 

ตลาดส่งออกสำคัญ

ภาพรวมการส่งออกไปยังตลาดสำคัญส่วนใหญ่หดตัว ท่ามกลางความไม่แน่นอนของอุปสงค์จากประเทศคู่ค้า ซึ่งสอดคล้องกับทิศทางการชะลอตัวของภาคการผลิตโลก โดยตลาดสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และอาเซียน (5) กลับมาหดตัวหลังจากขยายตัวในเดือนก่อน อย่างไรก็ตาม การส่งออกไปตลาดจีนและญี่ปุ่นกลับมาขยายตัว

ทั้งนี้ ภาพรวมการส่งออกไปยังกลุ่มตลาดต่าง ๆ สรุปได้ดังนี้ (1) ตลาดหลัก หดตัวร้อยละ 8.5 โดยกลับมาหดตัวในตลาดสหรัฐฯ อาเซียน (5) และสหภาพยุโรป (27) กลับมาหดตัวร้อยละ 4.8 ร้อยละ 18.0 และร้อยละ 9.0 ตามลำดับ ตลาด CLMV หดตัวต่อเนื่องร้อยละ 23.1 ขณะที่ตลาดจีนและญี่ปุ่น กลับมาขยายตัวร้อยละ 4.5 และร้อยละ 2.6 ตามลำดับ (2) ตลาดรอง หดตัวร้อยละ 2.0 โดยหดตัวในตลาดเอเชียใต้ร้อยละ 17.5 ตะวันออกกลาง ร้อยละ 8.6 แอฟริกา ร้อยละ 8.5 และลาตินอเมริกา ร้อยละ 10.2 แต่ขยายตัวในตลาดทวีปออสเตรเลีย ร้อยละ 9.7 รัสเซียและกลุ่ม CIS ร้อยละ 112.5 และสหราชอาณาจักร ร้อยละ 8.8 (3) ตลาดอื่น ๆ ขยายตัวร้อยละ 19.7 อาทิ
สวิตเซอร์แลนด์ ขยายตัวร้อยละ 19.3

แนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป

สำหรับแนวโน้มการส่งออกระยะถัดไป กระทรวงพาณิชย์ประเมินว่า  การส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป แม้ว่าจะยังมีความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจประเทศคู่ค้า โดยเศรษฐกิจจีนฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่ตลาดคาดการณ์ จากการบริโภคและการลงทุนที่ยังอ่อนแอ เศรษฐกิจยุโรปเปราะบางจากอุปสงค์ภายในและตลาดแรงงานที่อ่อนแอ โดยเฉพาะตลาดเยอรมนี ฟินแลนด์ และเดนมาร์ก ที่มีระดับค่าครองชีพสูง ทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง ในขณะที่การถอนตัวจากข้อตกลง Black Sea Grain Initiative ของรัสเซีย และปัญหาภัยแล้งจากปรากฎการณ์เอลนีโญ สร้างความกังวลต่อการตึงตัวของอุปทานอาหารโลก ซึ่งอาจจะกระทบต่อเงินเฟ้อและกำลังซื้อของประเทศคู่ค้า อย่างไรก็ดี มีปัจจัยสนับสนุนการส่งออกจากการเร่งเปิดตลาดศักยภาพเพื่อกระจายความเสี่ยงและลดผลกระทบจากการชะลอตัวของตลาดส่งออกหลัก เช่น ตะวันออกกลาง ลาตินอเมริกา และแอฟริกา นอกจากนี้ เงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าต่อเนื่องเป็นผลดีต่อผู้ประกอบการส่งออกสินค้าของไทย และความกังวลต่อการขาดแคลนอาหารทั่วโลกอาจเป็นปัจจัยผลักดันให้มูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้นจากปัจจัยด้านราคาเป็นสำคัญ

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH