อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 2565 ไตรมาสที่ 4 และแนวโน้มปี 2566 ไตรมาสที่ 1

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 2565 ไตรมาส 4 การผลิตหดตัวทั้งกลุ่มเหล็กทรงแบนและทรงยาว

อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 2566
  • Share :
  • 4,250 Reads   

กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผยสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทยในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 หดตัวลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 จากการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบน เช่น เหล็กเส้นกลม เหล็กโครงสร้างรูปพรรณชนิดรีดร้อน ลวดเหล็ก เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก เป็นต้น

ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม (MPI) อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า

การผลิตเหล็กและเหล็กกล้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมีค่า 84.6 หดตัวร้อยละ 10.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน แต่ขยายตัวร้อยละ 0.7 จากไตรมาสที่ผ่านมา 

  • การผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 13.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ผลิตภัณฑ์ที่การผลิตหดตัวมากที่สุดคือ เหล็กแผ่นรีดเย็น หดตัวร้อยละ 28.9 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 20.5 และ 10.0 ตามลำดับ

  • การผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว หดตัวร้อยละ 13.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว คือ เหล็กเส้นกลม หดตัวร้อยละ 26.4  รองลงมา คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ชนิดรีดร้อน และลวดเหล็ก หดตัวร้อยละ 20.2 และ 16.0 ตามลำดับ

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 2565 ไตรมาสที่ 4 และแนวโน้มปี 2566 ไตรมาสที่ 1

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม

 

การบริโภคเหล็กในประเทศไตรมาสที่ 4 ปี 2565 ​มีปริมาณ 3.7 ล้านตัน หดตัวร้อยละ 12.3 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และหดตัวร้อยละ 4.4 จากไตรมาสที่ผ่านมา

  • การบริโภคเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 16.6 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการบริโภคเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก หดตัวร้อยละ 34.9 รองลงมาคือ  เหล็กแผ่นรีดร้อน เหล็กแผ่นบางรีดเย็น และเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 19.4 17.6 และ 14.2 ตามลำดับ

  • การบริโภค​เหล็กทรงยาว หดตัวร้อยละ 4.5 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน จากการบริโภคเหล็กลวด และเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรีดร้อน หดตัวร้อยละ 13.1 และ 1.3 ตามลำดับ

การนำเข้าเหล็กและเหล็กกล้าในไตรมาสที่ 4 ปี 2565 มีมูลค่า 2.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวร้อยละ 22.2 จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน และหดตัวร้อยละ 20.8 จากไตรมาสที่ผ่านมา

  • การนำเข้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 26.2 ผลิตภัณฑ์ที่การนำเข้าหดตัวมากที่สุด คือเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี ชนิด EG หดตัวร้อยละ 64.6 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้า คือ จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น และไต้หวัน) รองลงมา คือ เหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นบางรีดเย็น ประเภท Carbon steel หดตัวร้อยละ 55.7 และ 37.1 ตามลำดับ

  • การนำเข้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว ขยายตัวร้อยละ 9.2 ผลิตภัณฑ์ที่การนำเข้าหดตัวมาก คือ เหล็กลวด ประเภท Stainless steel หดตัวร้อยละ 52.3 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้า คือ จีน มาเลเซีย และเกาหลีใต้) รองลงมา คือ เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ ประเภท Alloy steel และประเภท Stainless steel หดตัวร้อยละ 44.6 และ 40.2 ตามลำดับ

อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า 2565 ไตรมาสที่ 4 และแนวโน้มปี 2566 ไตรมาสที่ 1

ที่มา : สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรมและสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย

 

แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าไตรมาสที่ 1 ปี 2566 

แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าไตรมาสที่ 1 ปี 2566 คาดการณ์ว่าจะหดตัวเล็กน้อยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากต้นทุนพลังงานที่ปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้แนวโน้มราคาเหล็กในตลาดโลกปรับตัวเพิ่มขึ้น และอาจทำให้ความต้องการใช้เหล็กชะลอตัวลง อย่างไรก็ตาม หากการก่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และนโยบายสนับสนุนอุตสาหกรรมของภาครัฐมีความต่อเนื่อง คาดว่าจะเป็นปัจจัยสนับสนุนการขยายตัวของอุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ

 

อ่านต่อ: 

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH