'ซูซูกิ’ เติบโต 7% ยอดทะลุ 25,528 คัน ตั้งเป้าปี'64 ขาย 30,000 คัน

SUZUKI เติบโต 7% ยอดทะลุ 25,528 คัน ตั้งเป้าปี'64 ขาย 30,000 คัน

อัปเดตล่าสุด 19 ม.ค. 2564
  • Share :
  • 594 Reads   

ซูซูกิ มอเตอร์ (Suzuki Motor) รายงานผลการดำเนินธุรกิจในปี 2563 มียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้น 25,528 คัน เติบโต 7% จากปีก่อนหน้า และมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 3.22%

เมื่อวันที่ 14 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด รายงานความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจประจำปี 2563 (เดือนมกราคม-เดือนธันวาคม) เติบโต 7% เป็นไปตามเป้าหมายที่คาดการณ์ไว้ ตอกย้ำถึงความสำเร็จที่มาจากความมุ่งมั่นในการมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้า ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาด การขาย และการบริการ ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างตรงจุด เตรียมปรับแผนธุรกิจรุกตลาดรถยนต์ปี 2564 เสริมทัพด้วยผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ พร้อมเจาะลึกด้านงานขายและงานบริหารที่เข้าถึงลูกค้าได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น

นายมิโนรุ อามาโนะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในปี 2563 ที่ผ่านมาตลาดรถยนต์ในประเทศไทยมีการแข่งขันกันอย่างเข้มข้นในทุกด้าน ทั้งยังรวมถึงผลกระทบด้านเศรษฐกิจอันเกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จึงเป็นปีที่หลายฝ่ายต้องทำงานกันอย่างหนักเพื่อให้สามารถผ่านพ้นวิกฤติในครั้งนี้ไปได้ แม้ซูซูกิจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างแต่ก็ยังสามารถสร้างยอดจำหน่ายรวมไปได้ถึง 25,528 คัน มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นถึง 7% และมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 3.22% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ในขณะที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมยานยนต์มีตัวเลขยอดจำหน่ายอยู่ที่ 793,021 คัน ลดลง 21.29% เมื่อเทียบกับปี 2562 ที่ผ่านมา

สรุปยอดจำหน่ายรถยนต์ซูซูกิประจำปี 2563 แบ่งตามรุ่นดังนี้

  • SUZUKI SWIFT สปอร์ตอีโคคาร์ยอดนิยม มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 10,320 คัน ลดลงจากปีก่อน 12.74%
  • SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดคอมแพ็คคุณภาพเกินตัว มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 4,351 คัน คิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 195.18%
  • SUZUKI CIAZ พรีเมียมอีโคคาร์ซีดาน มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 3,047 คัน ลดลงจากปีก่อน 35.29%
  • SUZUKI ERTIGA รถอเนกประสงค์ 7 ที่นั่ง มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 2,766 คัน ลดลงจากปีก่อน 23.15%
  • SUZUKI XL7 ใหม่ รถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง มียอดจำหน่ายนับตั้งแต่การเปิดตัว อยู่ที่ 2,560 คัน
  • SUZUKI CARRY รถกระบะบรรทุกอเนกประสงค์เปิดกระบะท้ายได้ 3 ด้าน มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 2,433 คัน คิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 8%
  • SUZUKI JIMNY รถยนต์อเนกประสงค์สมรรถนะสูงขนาดเล็กมียอดจำหน่ายอยู่ที่ 51 คัน เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 11%

นายมิโนรุ อามาโนะ กล่าวเพิ่มเติมว่า ท่ามกลางวิกฤติในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากการแพร่ระบาดของโรคร้าย ไปจนถึงการแข่งขันอันรุนแรงของตลาดรถยนต์ในประเทศไทย แต่ยอดจำหน่ายรถยนต์หลายรุ่นของซูซูกิมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น โดยมีปัจจัยจากการที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมการวางแผนทางการเงินที่รัดกุมขึ้น ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอยด้านสินค้า เลือกใช้เฉพาะสิ่งที่จำเป็นและเน้นความคุ้มค่า คุ้มราคามากขึ้น เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับการเลือกซื้อรถยนต์คันใหม่ที่จะใช้เวลาในการตัดสินใจอย่างรอบคอบและรัดกุม คำนึงถึงเรื่องของราคาและคุณภาพที่เหมาะสมกับการใช้งานในชีวิตประจำวันให้มีความคุ้มค่าอย่างสูงสุด ซึ่งสอดคล้องกับผลิตภัณฑ์จากซูซูกิหลากหลายรุ่นที่เข้ามาตอบรับความต้องการได้อย่างเหมาะสมในสภาวะการณ์เช่นนี้ ด้วยตัวเลขยอดจำหน่ายรวมของซูซูกิในปี 2563 ที่เติบโตเป็นไปตามเป้าหมาย พิสูจน์ให้เห็นได้ว่า รถยนต์ซูซูกิทุกรุ่นเป็นหนึ่งในตัวเลือกสำคัญของผู้บริโภค ซึ่งต้องการมากกว่ายานพาหนะที่ออกแบบมาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ในชีวิต ประจำวัน แต่ยังเป็นรถยนต์คุณภาพดีที่มอบทั้งความคุ้มค่า คุ้มราคา ให้ผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง

โดยเฉพาะกับ SUZUKI CELERIO รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ซึ่งมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นเพียง 328,000 บาท กลับมาได้รับความนิยมและสร้างยอดจำหน่ายเพิ่มขึ้นได้อีกครั้ง นอกจากสรรถนะการขับขี่อันดีเยี่ยม มอบความประหยัดอย่างเหนือชั้น ยังตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในการเดินทาง ทั้งยังมีราคาจำหน่ายที่สามารถตัดสินใจครอบครองเป็นเจ้าของได้ง่ายอีกด้วย

ส่วนอีกหนึ่งรุ่นที่สร้างความสำเร็จให้แก่ซูซูกิเป็นอย่างมากกับกระแสตอบรับอย่างล้นหลามจากผู้บริโภคชาวไทย คือ SUZUKI XL7 ใหม่ รถยนต์ครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่ง ซึ่งมาพร้อมแนวคิด “THINK XL คิดได้เกินคาด ไปได้เกินใคร” ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของชีวิต ด้วยสมรรถนะและฟังก์ชันที่ครบครัน พร้อมดีไซน์สปอร์ตสุดเร้าใจ ยกระดับความอเนกประสงค์ในทุกด้านของรถครอสโอเวอร์ขนาด 7 ที่นั่งในประเทศไทยที่สามารถตอบโจทย์และสะท้อนภาพลักษณ์ของผู้ใช้งานได้อย่างลงตัว จากความนิยมดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันยังมียอดแบ็คออเดอร์ถึง 958 คัน ซึ่งซูซูกิจะเร่งส่งมอบให้ถึงมือลูกค้าอย่างเร็วที่สุดอย่างแน่นอน

ด้านนายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กรรมการบริหารด้านการขายและการตลาด บริษัท ซูซูกิ มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงทิศทางของตลาดรถยนต์ในปี 2564 โดยคาดว่ายอดจำหน่ายรวมในปีนี้จะอยู่ที่ 840,000 คัน ปัจจัยที่ยังน่ากังวล คือสถานการณ์การแพร่ระบาดระลอกใหม่ของไวรัสโควิด-19 ส่งผลกระทบไปยังหลายภาคส่วน ทั้งภาคอุตสากรรม การส่งออก การท่องเที่ยว รวมถึงความเชื่อมั่นของประชาชน และกำลังซื้อที่กำลังกลับมา เริ่มชะลอตัวลงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เรายังเชื่อมั่นว่า ด้วยมาตรการการดูแลและควบคุมต่างๆ ของทางภาครัฐ ทั้งการยับยั้งการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงประชาชนชาวไทยซึ่งผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมาแล้วในช่วงปีที่ผ่านมา จะสามารถปรับตัวรับมือกับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ได้ดีมากขึ้น ซึ่งเมื่อทุกฝ่ายมีความมุ่งมั่นในการจะฝันฝ่าวิกฤติระลอกใหม่ครั้งนี้ไปด้วยกัน ก็น่าจะช่วยให้สถานการณ์ทุกอย่างฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติได้โดยเร็ว

นายวัลลภ ตรีฤกษ์งาม กล่าวเพิ่มเติมว่าสำหรับกลยุทธ์ของซูซูกิในปีนี้ จะยังคงเดินหน้าสานต่อแนวทางการบริหารงานอย่างครบวงจร เพื่อบริการลูกค้าและเจาะตรงไปยังกลุ่มเป้าหมายได้อย่างเข้าถึงมากยิ่งขึ้น ในด้านของผลิตภัณฑ์ เตรียมเพิ่มศักยภาพด้านการแข่งขันในตลาดให้มากยิ่งขึ้น ด้วยการเตรียมเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่อย่าง NEW SUZUKI SWIFT ออกสู่ตลาดอย่างเป็นทางการในต้นเดือนกุมภาพันธ์นี้ นอกจากเป็นการเพิ่มเติมความสดใหม่ให้กับผลิตภัณฑ์เพิ่มเติมเต็มความต้องการของลูกค้ายังเป็นการต่อยอดความสำเร็จของรถรุ่นนี้ซึ่งเป็นรถที่ได้รับความนิยมของซูซูกิมาโดยตลอดอีกด้วย โดยตั้งเป้าขายปีนี้ที่ 30,000 คัน

ด้านงานขายมีแผนที่จะพัฒนาและยกระดับพนักงานให้เข้าถึงช่องทางออนไลน์ปรับพฤติกรรมการขายและการดูแลให้เข้ากับพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคให้มีความแม่นยำ และโดนใจมากยิ่งขึ้น

ด้านงานบริการ ซูซูกิ มีแนวทางการพัฒนาไปร่วมกับทางผู้จำหน่ายมาอย่างต่อเนื่อง มุ่งหวังที่จะสร้างคุณค่าให้แก่งานบริการเพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง ล่าสุด เตรียมที่จะขยายเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายเพื่อดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมทุกพื้นที่เกินกว่า 140 แห่ง ภายในเดือนมีนาคมปี 2565 นี้

ทั้งนี้ ซูซูกิ มีความต้องการให้ผู้บริโภคทุกคนเข้าถึงสินค้าที่มีคุณภาพดี และการบริการที่ดีทั้งก่อนและหลังการขาย เราจึงไม่ได้มุ่งหวังแค่จะสร้างยอดขายให้เติบโตเพียงเท่านั้น แต่เราต้องการที่จะสร้างให้ซูซูกิเป็นแบรนด์ที่ผู้บริโภคให้ความเชื่อถือและไว้วางใจเดินคู่เคียงข้างคนไทยต่อไปในอนาคต

สำหรับซูซูกิ มอเตอร์ประเทศไทย เรายังคงมุ่งมั่นที่จะตอบแทนสังคมไทยให้ผ่านพ้นวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน โดยที่ผ่านมานอกจากความร่วมมือกับทางผู้จำหน่ายทุกราย จัดทำโครงการแครี่ ปันสุข และ บริการฉีดพ่นยาฆ่าเชื้อโรคในรถฟรีสำหรับลูกค้าที่ใช้รถยนต์ซูซูกิ เพื่อช่วยเหลือผู้บริโภคในช่วงโควิด-19 แล้วนั้น ซูซูกิยังเตรียมเริ่มโครงการ “SUZUKI Cause We Care – เหนือกว่าความใส่ใจ คือความเข้าใจทุกความต้องการ” เพื่อสื่อสารกับลูกค้าทั้งด้านสินค้าและงานบริการในยุคที่การสื่อสารและการรับรู้ข้อมูลข่าวสารรวดเร็วและไร้ขีดจำกัด ทั้งนี้ก็เพื่ออำนวยความสะดวกได้อย่างทันท่วงทีและมอบบริการที่ดีที่สุดให้แก่ลูกค้าทุกท่าน รวมถึงส่งมอบประสบการณ์ที่ดีในสินค้าและบริการของซูซูกิสู่ลูกค้าต่อไป โดยโครงการนี้ซูซูกิกำหนดให้ผู้จำหน่ายรถยนต์ซูซูกิทั่วประเทศดำเนินการเป็นแนวทางการพัฒนาธุรกิจควบคู่ไปกับการอยู่คู่เคียงข้างชุมชนและสังคมไทยอย่างยั่งยืนอีกด้วย