การ์ทเนอร์คาดการณ์การใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค (Wearable Electronic Devices) ทั่วโลกปีนี้จะแตะ 81.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

คาดการณ์การใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคทั่วโลก ปี 2021 จะแตะ 81.5 พันล้านเหรียญ

อัปเดตล่าสุด 17 ม.ค. 2564
  • Share :
  • 655 Reads   

เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา การ์ทเนอร์ อิงค์ (Gartner Inc.) คาดการณ์การใช้จ่ายของผู้บริโภคไปกับอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค (Wearable Devices) ทั่วโลกปีนี้จะมีมูลค่ารวม 81.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 18.1% จาก 69 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปีที่ผ่านมา โดยการทำงานระยะไกลและความใส่ใจตรวจเช็กสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้คนช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 เป็น 2 ปัจจัยสำคัญเร่งผลักดันการเติบโตของตลาด

นายรันจิต อัตวัล ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยอาวุโสของการ์ทเนอร์ กล่าวว่า “การแนะนำมาตรการด้านสุขภาพเพื่อเฝ้าติดตามอาการโควิด-19 ด้วยตัวเอง และแนวโน้มความสนใจด้านสุขภาพที่เพิ่มขึ้นของผู้บริโภคทั่วโลกช่วงล็อกดาวน์เป็นโอกาสสำคัญของตลาดอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทค โดยอุปกรณ์หูฟังและสมาร์ทวอทช์กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากผู้บริโภคใช้อุปกรณ์เหล่านี้ในการทำงานระยะไกล, ออกกำลังกาย, ติดตามข้อมูลสุขภาพและอื่น ๆ”

การใช้จ่ายไปกับอุปกรณ์หูฟังในปี 2563 เพิ่มขึ้น 124% หรือคิดเป็นมูลค่ารวม 32.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และคาดการณ์ปีนี้จะมีมูลค่าสูงถึง 39.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ดูตารางประกอบ) โดยการเติบโตอย่างมหาศาลนี้เกิดจากพนักงานที่ต้องทำงานนอกออฟฟิศอัพเกรดหูฟังเพื่อสื่อสารผ่านวิดีโอคอลและผู้บริโภคซื้อหูฟังเพื่อใช้กับสมาร์ทโฟนของตน

ตารางมูลค่าการใช้จ่ายอุปกรณ์สวมใส่ของผู้บริโภคทั่วโลกตามประเภทในปี 2562 ถึง 2565 (หน่วย:ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ)

ที่มา: การ์ทเนอร์ (มกราคม 2564)

การใช้จ่ายของผู้ใช้สมาร์ทวอทช์ปี 2563 เพิ่มขึ้น 17.6% หรือราว 21.8 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยการเติบโตของสมาร์ทวอทช์ส่วนหนึ่งมาจากผู้ใช้กลุ่มใหม่ ๆ ที่เข้าสู่ตลาด ซึ่งมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดปี 2564 เนื่องจากเทคโนโลยีการประมวลผลใหม่และการพัฒนาปรับปรุงแบตเตอรี่แบบโซลิดสเตตซึ่งช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้ยาวนานและชาร์จไวขึ้น

การ์ทเนอร์เพิ่มอุปกรณแผ่นแปะอัจฉริยะหรือสมาร์ทแพทช์ (Smart patches) เข้ามาเป็นหมวดใหม่ เนื่องจากคาดว่าจะเห็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในปี 2564 สมาร์ทแพทช์คือเซนเซอร์ตรวจเช็กสุขภาพที่ใช้ติดบนผิวหนังเพื่อตรวจวัดอุณหภูมิ, อัตราการเต้นของหัวใจ, น้ำตาลในเลือดและข้อมูลสุขภาพที่สำคัญอื่น ๆ ซึ่งให้ข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่าเทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่อื่น ๆ อีกทั้งยังใช้สำหรับการกำหนดการจ่ายยาจากระยะไกลได้อีกด้วย เช่น การให้อินซูลินแก่ผู้ป่วยเบาหวาน

“สมาร์ทแพทช์ได้รับการคิดค้นขึ้นมาระยะหนึ่งแล้วแต่นำมาใช้ล่าช้า สาเหตุจากกฏระเบียบข้อบังคับที่เข้มงวดและการต่อต้านทั้งจากผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ในการนำมาใช้สำหรับการให้ยาอัตโนมัติ” นายอัตวัลกล่าว

“อย่างไรก็ตามการเปลี่ยนไปสู่ยุคเทคโนโลยีสารสนเทศสุขภาพ (e-health) โดยเฉพาะในช่วงการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเปลี่ยนแปลงความเข้าใจของผู้ใช้เกี่ยวกับการให้บริการด้านสุขภาพอัตโนมัติและเพิ่มความต้องการสมาร์ทแพทช์มากขึ้น”

นวัตกรรม "การตรวจจับหรือเซนเซอร์ และการย่อขนาด" ขับเคลื่อนการเติบโตของตลาด

แรงขับเคลื่อนการเติบโตอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคมีอยู่ในอุปกรณ์หลากหลายหมวด เนื่องจากผู้ผลิตอุปกรณ์มุ่งเน้นปรับปรุงความแม่นยำของเซนเซอร์และระยะห่างของประสิทธิภาพระหว่างอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคที่ใช้ทางการแพทย์และที่ใช้ทั่วไปก็ลดลงเรื่อย ๆ

“ประสิทธิภาพของเซนเซอร์แบบฝังอยู่ในอุปกรณ์มักเป็นปัจจัยกำหนดความน่าเชื่อถือและประโยชน์ใช้สอยของอุปกรณ์นั้น ๆ” นายอัตวัลกล่าว “จากแนวทางการพัฒนาปรับปรุงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เซนเซอร์ที่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์สวมใส่ไฮเทคสามารถอ่านค่าได้แม่นยำมากขึ้นซึ่งช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของตลาดไปอีก 3-5 ปีข้างหน้า”

ความก้าวหน้าในการย่อขนาดยังเป็นปัจจัยที่มีอิทธิพลในตลาดอุปกรณ์สวมใส่โดยทำให้ผู้ผลิตสามารถใส่เซนเซอร์เข้าไปกับอุปกรณ์โดยผู้ใช้แทบมองไม่เห็น เช่น แหวนอัจฉริยะ (Oura Ring), อุปกรณ์ติดตามสุขภาพร่างกาย (Spire Health Tag) หรือ เวชภัณฑ์ดิจิทัลประกอบด้วยเซ็นเซอร์ที่บริโภคได้ (Proteus Discover) การ์ทเนอร์คาดการณ์ว่าภายในปี 2567 ความสามารถในการย่อขนาดจะก้าวไปสู่จุดที่ 10% ของเทคโนโลยีสวมใส่ทุกประเภทจะไม่สร้างความรำคาญต่อผู้ใช้

ความก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องในการย่อขนาดและการผนึกรวมจะช่วยให้สามารถนำเทคโนโลยีมาใช้งานได้มากขึ้นและเป็นประโยชน์ต่อการนำมาปรับใช้ในเสื้อผ้าอัจฉริยะ (Smart garments), อุปกรณ์สวมใส่แบบพิมพ์ติด (Printed wearables), เทคโนโลยีเซนเซอร์ที่กินได้ (Ingestibles), และสมาร์ทแพทช์ (Smart patches) นับจากนี้อุปกรณ์สวมใส่อัจฉริยะที่แทบมองไม่เห็นเหล่านี้จะได้รับการยอมรับจากผู้ใช้ที่เคยตะขิตะขวงหรือไม่เต็มใจใช้ เช่น ผู้ป่วยสูงอายุที่ต้องมีการใช้แอปพลิเคชันทางการแพทย์ในการดูแลรักษาแต่ไม่ปฏิเสธการรักษาผ่านอุปกรณ์เหล่านั้น” นายอัตวัลกล่าว