อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้า ไตรมาสที่ 3/2563 และแนวโน้มไตรมาสที่ 4/2563
กองนโยบายอุตสาหกรรมรายสาขา 1 สำนักงานเศรษฐกิจอุตสาหกรรม (สศอ.) เผย สถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าของไทย โดยดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมเหล็กไตรมาสที่ 3 ปี 2563 หดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2562 จากการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวและเหล็กทรงแบนหดตัว เช่น เหล็กแผ่นรีดเย็น เหล็กแผ่นเคลือบ
สังกะสี เหล็กเส้นข้ออ้อย และลวดเหล็ก
ดัชนีการผลิต
การผลิต ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมมีค่า 87.0 ขยายตัวจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 7.2 (%QoQ) แต่หดตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 7.0 (%YoY) (หดตัวติดต่อกัน 8 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2561) เนื่องจากการชะลอตัวของการผลิตในอุตสาหกรรมต่อเนื่อง เช่น อุตสาหกรรมก่อสร้าง และอุตสาหกรรมยานยนต์ ตามการชะลอตัวของสถานการณ์เศรษฐกิจ ทั้งเศรษฐกิจไทย และเศรษฐกิจโลก โดยการผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวหดตัวร้อยละ 7.6 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัวมากที่สุดคือ เหล็กเส้นข้ออ้อย หดตัวร้อยละ 20.3 รองลงมา คือ ลวดเหล็กและเหล็กเส้นกลม หดตัวร้อยละ 10.0 และ 8.6 ตามลำดับ การผลิตผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 12.3 ผลิตภัณฑ์ที่มีการผลิตหดตัว คือ เหล็กแผ่นรีดเย็นและเหล็กแผ่นเคลือบสังกะสี หดตัวร้อยละ 33.4 และ 32.6 ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม การผลิตเหล็กแผ่นเคลือบดีบุก และเหล็กแผ่นเคลือบโครเมี่ยม ขยายตัวร้อยละ 45.7และ 36.4 ตามลำดับ ตามการขยายตัวของการผลิตอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์กระป๋องโลหะ
การจำหน่าย ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีปริมาณ 4.1 ล้านตัน ขยายตัวจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 11.7 (%QoQ) แต่หดตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 11.4 (%YoY) (หดตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2562) โดยการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาวหดตัวร้อยละ 5.1 ผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายหดตัว คือ เหล็กลวด หดตัวร้อยละ 10.0 และเหล็กเส้นและเหล็กโครงสร้างรีดร้อน หดตัวร้อยละ 9.4 การจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 15.1 ผลิตภัณฑ์ที่มีการจำหน่ายหดตัวมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นหนารีดร้อน หดตัวร้อยละ 39.7 รองลงมา คือ เหล็กแผ่นรีดเย็น และเหล็กแผ่นบางรีดร้อนหดตัวร้อยละ 32.4 และ 25.9 ตามลำดับ
การนำเข้า ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีมูลค่า 1.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ หดตัวจากไตรมาสก่อน ร้อยละ 8.3 (%QoQ) และหดตัวจากไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 29.3 (%YoY) (หดตัวติดต่อกัน 5 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2562) โดยการนำเข้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงยาว หดตัวร้อยละ 39.3 ผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้าหดตัวมากที่สุด คือ เหล็กเส้น ประเภท Carbon Steel หดตัวร้อยละ 77.8 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และจีน) รองลงมา คือ เหล็กเส้น ประเภท Alloy Steel และเหล็กโครงสร้างรีดร้อน ประเภท Carbon Steel หดตัวร้อยละ 67.3 และ 63.8 ตามลำดับ การนำเข้าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเหล็กทรงแบน หดตัวร้อยละ 25.3 ผลิตภัณฑ์ที่มีการนำเข้าหดตัวมากที่สุด คือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ประเภท Carbon Steel P&O หดตัวร้อยละ 80.2 (ประเทศหลักที่ไทยนำเข้าลดลง คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และไต้หวัน) รองลงมา คือ เหล็กแผ่นบางรีดร้อน ประเภท Carbon Steel และ เหล็กแผ่นรีดเย็น ประเภท Carbon Steel หดตัวร้อยละ 56.8 และ 50.7 ตามลำดับ
แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าไตรมาสที่ 4 ปี 2563
แน แนวโน้มอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าไตรมาสที่ 4 ปี 2563 คาดการณ์ว่าจะหดตัวเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีประเด็นที่น่าติดตาม เช่น สถานการณ์เศรษฐกิจและการค้าโลก สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ ราคาสินค้าเหล็กต่างประเทศ และการดำเนินการโครงการก่อสร้างภาครัฐ ซึ่งประเด็นดังกล่าวจะส่งผลต่อปริมาณการผลิต และการบริโภคผลิตภัณฑ์เหล็กในประเทศ
อ่านต่อ:
“โควิด” ไล่ถล่มอุตฯเหล็กไทย รง.ร้องบิ๊กตู่งัดทุกมาตรการป้องตลาด