เวียดนาม ครองแชมป์อันดับ 1 ประเทศน่าลงทุนในสายตาญี่ปุ่น
♦ ผลสำรวจบริษัทญี่ปุ่นขนาดกลางและขนาดเล็ก ชู “เวียดนาม” น่าลงทุนอันดับหนึ่ง ต่อเนื่อง 7 ปีซ้อน
♦ ไทยตกมาอยู่อันดับ 7 โดยมีบริษัทญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนเพียง 5.9% เท่านั้น
เมื่อวันที่ 30 พฤศจิกายน 2020 ที่ผ่านมา Japan Finance Corporation สถาบันการเงินสำหรับธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก ภายใต้การกำกับดูแลของของรัฐบาลญี่ปุ่น ได้เปิดเผยรายงานการสำรวจสภาพธุรกิจครั้งที่ 10 ของธุรกิจญี่ปุ่นในต่างประเทศ โดยมีผู้ตอบแบบสอบถาม 1,529 บริษัท โดยมีธุรกิจในอุตสาหกรรมการผลิตคิดเป็นสัดส่วน 67.6%
จากแบบสอบถามพบว่า ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจที่สุดในปีนี้คือปัญหาค่าแรง ตามด้วยการระบาดของโควิด-19 ทำให้แนวโน้มการขยายการลงทุนในต่างประเทศของญี่ปุ่นในปี 2020 อยู่ที่ 33.4% ลดลงจากปี 2019 ซึ่งอยู่ที่ 43.1% ในขณะเดียวกัน บริษัทญี่ปุ่นที่มีแนวโน้มคงสภาพธุรกิจในต่างประเทศไว้โดยไม่ลงทุนเพิ่มคิดเป็น 51.8% ในปี 2020 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากเดิม 48.4% ในปี 2019
และในช่วงปี 2021-2023 บริษัทญี่ปุ่นเหล่านี้ได้ยกให้ “เวียดนาม” เป็นประเทศน่าลงทุนมากที่สุด และมีแนวโน้มการเข้าลงทุนด้วยสัดส่วน 28.0% ครองอันดับ 1 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7
โดยสาเหตุที่เวียดนามได้รับความสนใจเป็นอันดับ 1 เนื่องจากตลาดมีศักยภาพในการเติบโตสูง ค่าแรงต่ำ มีความมั่นคงทางการเมือง การเข้าลงทุนมีความสะดวก และตลาดแรงงานมีคุณภาพ
- 10 อันดับประเทศน่าลงทุน ในสายตาญี่ปุ่น
- “เวียดนาม” อนุมัติ “ฟ็อกซ์คอนน์” ขยายลงทุน 270 ล้านเหรียญ ผลิตคอมพิวเตอร์และแท็บเล็ต
-
เวียดนาม โกยคะแนนความเชื่อมั่นนักลงทุน หลัง ‘อินเทล’ ทุ่ม 475 ล้านเหรียญ ตั้งโรงงานผลิตชิปรองรับ 5G
สำหรับประเทศไทยหล่นลงมาอยู่อันดับที่ 7 จากอันดับที่ 5 ในปีที่แล้ว และมีบริษัทญี่ปุ่นให้ความสนใจลงทุนเพียง 5.9% เท่านั้น โดยสาเหตุที่บริษัทญี่ปุ่นเล็งเห็นว่าไทยน่าลงทุน เป็นผลจากการที่ประเทศไทยมีการเข้ามาลงทุนโดยบริษัทญี่ปุ่นอยู่แล้วเป็นจำนวนมาก และตลาดยังมีศักยภาพในการเติบโตอยู่
จากผลสำรวจยังพบว่า สถานการณ์การระบาดของโควิดทำให้หลายบริษัทยังไม่มีแผนการลงทุนที่เป็นรูปธรรม โดย 51.6% ของบริษัทที่ตอบแบบสอบถาม ยังไม่มีแผนลงทุนเครื่องจักรนอกประเทศญี่ปุ่นในช่วง 3 ปีนี้