แนวโน้มและทิศทางการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้า 2020-2030

อัปเดตล่าสุด 31 ม.ค. 2563
  • Share :
  • 6,881 Reads   

ใกล้เวลาปรับตัวแล้วหรือยัง สำหรับผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมยานยนต์ เมื่อยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า (EV) ในตลาดโลกเติบโตเร็วกว่าที่คาดไว้ โดยในปี 2025 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ออกสู่ตลาดมากถึง 400 รุ่น ซึ่งจะถูกใช้อย่างแพร่หลายในบริการด้านคมนาคม Ride Sharing และแท็กซี่ และในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ ยังมีแนวโน้มการเติบโตที่กำลังจะแซงหน้ารถเครื่องยนต์สันดาป โดยจีนจะเป็นประเทศที่มีรถยนต์ไฟฟ้ามากที่สุดในโลก ตามด้วยยุโรป และญี่ปุ่น

Boston Consulting Group (BCG) บริษัทให้คำปรึกษาด้านการบริหารจัดการจากประเทศสหรัฐอเมริกา คาดการณ์ว่า รถยนต์ไฟฟ้า จะมีส่วนแบ่งแซงหน้ารถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปในปี 2030

รายงาน “Global Automotive Powertrain Forecast” จาก BCG ระบุว่า อัตราการเติบโตของรถยนต์ไฟฟ้าในตลาดโลกสูงขึ้นเร็วกว่าที่เคยคาดการณ์มาก โดยจะมีส่วนแบ่งคิดเป็น 1 ใน 3 ของตลาดโลกในปี 2025 และขึ้นไปอยู่ที่มากกว่าครึ่งหนึ่ง หรือ 51% ในปี 2030 โดยในจำนวนนี้ คาดว่าจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ใช้แบตเตอรี่ และรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid Vehicles: PHV) อย่างละประมาณ 25% 

3 เหตุผลที่ทำให้ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตอย่างรวดเร็ว คือ

  1. การผลักดันจากภาครัฐ ซึ่งมีส่วนช่วยในการควบคุมราคารถยนต์ไฟฟ้า
  2. มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดขึ้น ส่งผลให้ผู้ผลิตแบบ OEM จำเป็นต้องผลิตรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ตามเป้า
  3. แบตเตอรี่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และราคาถูกลง นำมาซึ่งความพอใจของผู้ใช้

 

ซึ่งทั้ง 3 ข้อนี้เอง เป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้บริโภคมีแนวโน้มเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น โดยรายงานระบุว่า ผู้ผลิตยานยนต์แบบ OEM ชั้นนำของโลกหลายราย มีแผนลงทุนด้านรถยนต์ไฟฟ้ารวมแล้วเป็นมูลค่าสูงกว่า 3 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วง 10 ปีข้างหน้านี้ และคาดการณ์ว่า ในปี 2025 จะมีรถยนต์ไฟฟ้าโมเดลใหม่ออกสู่ตลาดมากถึง 400 รุ่น 

คาดการณ์ว่า ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเข้าสู่ช่วงจุดเปลี่ยนในปี 2022 - 2023 โดยอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับภูมิภาค และขนาดรถ โดยคาดว่า ตั้งแต่ปี 2025 เป็นต้นไป ตลาดรถยนต์ไฟฟ้าจะมีการเติบโตปีละ 30% จากจำนวนรถยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด และ 10% จะถูกใช้ในบริการด้านคมนาคม เช่น Ride Sharing และแท็กซี่

ส่วยรถยนต์ทั่วไปนั้น ยอดขายในตลาดโลกจะเริ่มลดลงอย่างรวดเร็วในปี 2025 อย่างไรก็ตาม สาเหตุที่ยอดขายลดลง ไม่ได้มาจากแนวโน้มของผู้ใช้รถ แต่มาจากมาตรการภาครัฐ และการแบนเครื่องยนต์สันดาปในบางประเทศ ซึ่งคาดว่าในปี 2030 รถยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปจะเหลือ 48% ในตลาดโลก และจะเป็นรถยนต์ดีเซลเพียง 4% เท่านั้น

รายงานคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ประเทศจีนจะยังเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดต่อไป และจะมีส่วนแบ่งถึง 26% จากตลาดโลกในปี 2030 รองลงมาคือยุโรป ซึ่งจะมีตลาดหลักอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ และประเทศแถบยุโรปเหนือ ถัดมาจึงเป็นประเทศญี่ปุ่น ซึ่งคาดว่ารถยนต์ส่วนใหญ่จะเป็นรถยนต์ไฮบริดมากกว่ารถยนต์ไฟฟ้า

และตลาดใหญ่ลำดับท้ายสุดคือสหรัฐฯ ซึ่งเป็นผลจากพื้นที่ขนาดใหญ่ และค่านิยมของผู้บริโภคที่นิยมใช้รถยนต์ขนาดใหญ่มากกว่ารถยนต์ขนาดกลาง และขนาดเล็ก รวมไปถึงราคาน้ำมันที่ถูกกว่าอีกด้วย

BCG รายงานเพิ่มเติมว่า ในปี 2019 มีการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกรวมแล้ว 2.8 ล้านคัน ซึ่งหากเทียบกับจำนวนรถยนต์ในตลาดโลกพบว่ามีสัดส่วนน้อยมาก อย่างไรก็ตาม ตัวเลขนี้สูงกว่าการคาดการณ์เดิมในปี 2017 ถึง 8 แสนคัน โดยจากผลสำรวจชาวอเมริกา พบว่ามีผู้สนใจซื้อรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น 40% และรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 20% จากปี 2010 นอกจากนี้ 70% ของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้า แสดงความพอใจ และตัดสินใจจะซื้อรถยนต์ไฟฟ้าต่อไปในอนาคต และจำนวนครอบครัวที่ซื้อรถยนต์ไฟฟ้ามากกว่า 1 คันที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตาม แนวโน้มนี้ก็มีจุดที่ต้องเฝ้าระวังคือนโยบายจากภาครัฐในประเทศต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งนโยบายที่ส่งผลต่อราคาขายของรถยนต์ไฟฟ้าโดยตรง