10 อันดับ ประเทศน่าลงทุนในสายตาบริษัทญี่ปุ่น

อัปเดตล่าสุด 23 ส.ค. 2562
  • Share :

ยิ่งสงครามการค้ายืดเยื้อมากเท่าไร เอเชียก็ยิ่งจะได้รับผลกระทบในแง่ลบมากเท่านั้น สืบเนื่องจากความเกี่ยวข้องทางด้านของซัพพลายเชน อย่างไรก็ตาม สำหรับภูมิภาคเอเชียแล้ว สงครามการค้าไม่ได้มีเพียงผลเสียเท่านั้น เนื่องจากความจำเป็นในการย้ายฐานการผลิตของธุรกิจหลายราย เพื่อหลีกเลี่ยงมาตรการภาษีของสหรัฐ ส่งผลให้หลายประเทศในเอเชียได้รับการจับตามอง ซึ่งหากเกิดการย้ายฐานการผลิตขึ้นจริง ก็จะเป็นผลดีต่อประเทศเหล่านี้อย่างแน่นอน

ถ้าเช่นนั้น ก็คงมีคนที่สงสัยว่า “ประเทศใดในเอเชียจะขึ้นมาแทนจีนได้” โดย Sakurako Furuhashi นักวิเคราะห์จาก Daiwa Institute of Research Holdings ผู้รับผิดชอบด้านการวิเคราะห์อุตสาหกรรมการผลิตประเทศกำลังพัฒนา ภูมิภาคเอเชีย ได้ทำการรวบรวมข้อมูลการเติบโตของตลาด, ค่าแรง, จำนวนแรงงาน, การศึกษา, โลจิสติกส์, โครงสร้างพื้นฐาน, และความมั่นคงทางการเมือง ออกมาเป็นแบบสอบถามหนึ่งชุด และจัดส่งให้กับธุรกิจเครือญี่ปุ่นในภูมิภาค พบว่า ในสายตาบริษัทญี่ปุ่น ประเทศที่มีศักยภาพจะขึ้นมาเป็นฐานการผลิตสำคัญแทนที่จีนได้ 3 อันดับแรกคือ เวียดนาม, มาเลเซีย, และไทย

ประเทศเวียดนาม ถูกประเมินว่ามีศักยภาพสูงสุด เนื่องจากการเติบโตของตลาดภายในประเทศ รวมถึงการย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่เวียดนามที่เริ่มปรากฎให้เห็นแล้วในปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐได้ประกาศใช้การลงโทษทางการค้าต่อเวียดนาม เนื่องจากความกังวลถึงการขาดดุล และจากแนวโน้มนี้เอง จึงเป็นไปได้ว่า หากมีการย้ายฐานการผลิตจากจีนสู่ประเทศอื่น ๆ ในเอเชียแล้ว ก็จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดกรณีเดียวกัน

ด้วยเหตุนี้ สำหรับนักลงทุนการเลือกลงทุนในหลายประเทศเพื่อกระจายความเสี่ยง จึงเป็นทางออกหนึ่งที่อาจส่งผลดีในสถานการณ์เช่นนี้ ยกตัวอย่างเช่น อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรจำนวนมากกำลังเข้าสู่วัยทำงาน ร่วมกับนโยบายส่งเสริมอุตสาหกรรมการผลิตจากรัฐบาลในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ทำให้ทั้ง 2 ประเทศ ถูกจับตามองในฐานะฐานการผลิตสำคัญในอนาคต ในขณะเดียวกัน เมียนมา และกัมพูชานั้น แม้จะถูกประเมินว่ามีศักยภาพในการเติบโตต่ำ แต่สามารถส่งออกสินค้าไปยังสหรัฐได้โดยปลอดภาษี จึงทำให้เป็นอีก 2 ประเทศที่ได้รับการพิจารณาจากหลายบริษัท