ส.อ.ท. แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบายทรัมป์ 2.0

ส.อ.ท. แนะผู้ประกอบการเร่งปรับตัวรับนโยบายทรัมป์ 2.0

อัปเดตล่าสุด 3 ธ.ค. 2567
  • Share :

FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 เผยผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ มีความกังวลต่อนโยบายของ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ อยู่ที่ระดับปานกลาง โดยรอต้องติดตามว่านโยบายดังกล่าวจะมีความชัดเจนอย่างไรหลังจากเข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2568

3 ธันวาคม 2567 - หม่อมหลวงปีกทอง ทองใหญ่ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 ในเดือนพฤศจิกายน 2567 ภายใต้หัวข้อ “มุมมองภาคอุตสาหกรรมต่อผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0” ภายใต้นโยบาย America First ที่จะมีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10% และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60%

ผู้บริหาร ส.อ.ท. มีความกังวลต่อผลกระทบทางอ้อมจากการที่จีนต้องหาตลาดใหม่ทดแทนตลาดสหรัฐฯ ซึ่งจะทำให้สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียนและประเทศไทยมากยิ่งขึ้น รวมทั้งความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้นจากการเกินดุลการค้าสหรัฐฯ โดยตั้งแต่เดือนมกราคม - ตุลาคม 2567 ไทยได้ดุลการค้าสหรัฐฯ มูลค่ากว่า 28,904 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือขยายตัว 20.56% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ขณะเดียวกันนโยบายทรัมป์ 2.0 อาจเป็นโอกาสที่ประเทศไทยจะส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้นทดแทนสินค้าจีน ตลอดจนเป็นโอกาสดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทยและการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) สินค้าเทคโนโลยีใหม่ที่เข้ามาลงทุนในประเทศ

อย่างไรก็ตามจากผลสำรวจพบว่า ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่มองว่า ภาคอุตสาหกรรมจะต้องเร่งพัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก ควบคู่ไปกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตเพื่อเตรียมความพร้อมให้กับธุรกิจในการรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลกที่มีผลพวงมาจากนโยบายทรัมป์ 2.0  รวมทั้งมีการวางแผนกระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ นอกเหนือจากสหรัฐฯ เพื่อรองรับความเสี่ยงในอนาคต ส่วนภาครัฐควรบูรณาการความร่วมมือในการส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศให้มากขึ้น และให้ความสำคัญกับปกป้อง Supply Chain ภายในประเทศไทย รวมทั้งมีการออกมาตรการที่เข้มงวดในการรับมือสินค้าจีนโดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐาน

จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 150 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 47 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI CEO Poll ครั้งที่ 42 จำนวน 7 คำถาม ดังนี้

1) นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในระดับใด

อันดับ 1 : ปานกลาง                                                                                                        56.7%
อันดับ 2 : มาก                                                                                                                    25.3%
อันดับ 3 : น้อย                                                                                                                   18.0%

2) ภาคอุตสาหกรรมมีความกังวลต่อนโยบายทรัมป์ 2.0 ในเรื่องใด

อันดับ 1 : การปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากทุกประเทศในอัตรา 10%                      66.0% 
และเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้าจีนสูงสุด 60%

อันดับ 2 : มาตรการดึงการลงทุนกลับสหรัฐฯ (Reshoring) และนโยบาย America First    31.3%
อันดับ 3 : การถอนตัวจากข้อตกลง Paris Agreement โดยเน้นความมั่นคง                        30.7%        

ด้านพลังงานก่อนการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ
อันดับ 4 : การปรับยุทธศาสตร์การเจรจาความร่วมมือระหว่างประเทศ                               28.0%  
เป็นแบบทวิภาคีแทนแบบพหุภาคี  

3) นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงบวกต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด

อันดับ 1 : โอกาสของประเทศไทยในการส่งออกสินค้าไปสหรัฐฯ                            68.0%
ทดแทนสินค้าจีน

อันดับ 2 : การโยกย้ายการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในประเทศไทย                                 62.0%
เนื่องจากสงครามการค้า และการเข้าไปมีส่วนในห่วงโซ่อุปทาน
สินค้าเทคโนโลยีใหม่
อันดับ 3 : ผลกระทบจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ลดลง เนื่องจาก                                           30.7%
               การลดบทบาทของสหรัฐฯ ในความขัดแย้งฯ
อันดับ 4 : โอกาสของผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเข้าไปลงทุนในสหรัฐฯ                        6.7%

4) นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อเศรษฐกิจไทยในเรื่องใด

อันดับ 1 : สินค้าจีนทะลักเข้ามาแข่งขันในตลาดอาเซียน                                         70.0%
และประเทศไทยมากยิ่งขึ้น

อันดับ 2 : ความเสี่ยงต่อมาตรการกีดกันทางการค้าที่เข้มงวดขึ้น                                      61.3%
จากการเกินดุลการค้าสหรัฐ และการที่จีนใช้ไทย
เป็นช่องทางผ่านของสินค้าไปยังสหรัฐฯ
อันดับ 3 : ต้นทุนการส่งออกที่สูงขึ้นจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้า                      39.3%
ของสหรัฐ และความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าโลก 
อันดับ 4 : นักลงทุนจากสหรัฐฯ ชะลอการลงทุนในประเทศไทยจากนโยบาย America First   8.7%

5) ภาครัฐควรมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร

อันดับ 1 : ส่งเสริมการผลิตสินค้าที่ใช้ชิ้นส่วนภายในประเทศ                                   56.7%
และให้ความสำคัญกับ Supply Chain ในประเทศไทย 
รวมทั้งออกมาตรการรับมือสินค้าจีน

อันดับ 2 : เร่งปรับปรุงกฎหมายกฎระเบียบให้ทันสมัยรองรับมาตรการใหม่ๆ                       52.0%
ที่อาจกระทบต่อภาคธุรกิจ
อันดับ 3 : เร่งเจรจาความตกลงการค้าเสรี (FTA) เพื่อสร้างแต้มต่อในตลาดที่มีศักยภาพ   47.3%
เช่น FTA ไทย-EU
อันดับ 4 : รักษาบทบาทความเป็นกลางทางภูมิรัฐศาสตร์เพื่อสร้างประโยชน์                     26.0%
จากการเบี่ยงเบนทางการค้าและการลงทุน

6) ภาคเอกชนควรปรับตัวรับมือผลกระทบจากนโยบายทรัมป์ 2.0 อย่างไร

อันดับ 1 : พัฒนามาตรฐานผลิตภัณฑ์ให้เป็นที่ยอมรับของตลาดโลก                      66.7%
และปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต

อันดับ 2 : กระจายการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอื่นๆ ที่มีศักยภาพ                                       63.3%
นอกเหนือจากสหรัฐฯ
อันดับ 3 : ใช้เครื่องมือการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน                                      29.3%
เพื่อรับมือกับความผันผวนของค่าเงิน
อันดับ 4 : สร้างโอกาสในการขยายการลงทุนในสหรัฐฯ                                                      13.3%
และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ

7) นโยบายทรัมป์ 2.0 จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจด้านใด

อันดับ 1 : การค้าและการลงทุน                                                                                      62.0%
อันดับ 2 : ค่าเงินบาท                                                                                                          52.0%
อันดับ 3 : ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์                                                                                       25.3%
อันดับ 4 : ความผันผวนของตลาดทุน และประเทศพันธมิตรของสหรัฐฯ                             19.3%

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH