โพล ส.อ.ท. ชี้ภาคธุรกิจกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบต้นทุนการเงิน กำลังซื้อหด เบรคการลงทุนใหม่
โพล ส.อ.ท. ชี้ภาคธุรกิจกังวลดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบต้นทุนการเงิน กำลังซื้อหด เบรคการลงทุนใหม่ วอนรัฐออกมาตรการบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มสูงขึ้น
วันที่ 31 สิงหาคม 2566 นายมนตรี มหาพฤกษ์พงศ์ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 32 ในเดือนสิงหาคม 2566 ภายใต้หัวข้อ “อัตราดอกเบี้ยขาขึ้น กระทบอุตสาหกรรมแค่ไหน” ผู้บริหาร ส.อ.ท. มองว่า สืบเนื่องจากคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2566 มีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ต่อปี จาก 2.00% เป็น 2.25% สูงสุดในรอบ 9 ปี ซึ่งส่งผลทำให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่อง ผู้บริหาร ส.อ.ท. ส่วนใหญ่ จึงค่อนข้างมีความกังวลมากกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าว ประกอบกับนักวิเคราะห์หลายสำนักมองว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือ Fed มีโอกาสที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ อีก 1 ครั้ง ในช่วงปลายปีนี้ และอาจกดดันให้ ธปท. ต้องมีการพิจารณาปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้นอีกครั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพทางการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรมในเรื่องกำลังซื้อของประชาชนที่ชะลอตัว เนื่องจากภาระอัตราดอกเบี้ยเงินกู้และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้นทำให้ประชาชนเริ่มระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ภาคธุรกิจเกิดแรงกดดันที่อาจส่งผลทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริงทำได้ยากขึ้น ตลอดจนต้องชะลอการลงทุนใหม่ออกไป
ดังนั้น ผู้บริหาร ส.อ.ท. จึงเสนอขอให้รัฐบาลพิจารณามาตรการบรรเทาผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น เช่น ขอให้ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs เพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับผู้ประกอบการ มีการกำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายยิ่งขึ้น และขอให้ ธปท. พิจารณาชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายออกไปก่อนในช่วงนี้
- ส.อ.ท. กังวลตั้งรัฐบาลช้า ฉุดเศรษฐกิจครึ่งปีหลัง
- ดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรม MPI ปี 2566 เดือน ก.ค. หดตัว 4.43% ส่งออกสินค้าอุตฯ ชะลอตัวต่อเนื่อง
- ส่งออกไทย 2566 เดือน ก.ค. หดตัว 6.2% ลดลง 10 เดือนติด
ด้านมาตรการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงและกดดันเศรษฐกิจไทยอยู่ในขณะนี้ ผู้บริหาร ส.อ.ท. เสนอให้รัฐบาลยกระดับปัญหาหนี้ครัวเรือนเป็นวาระเร่งด่วนที่จะต้องแก้ไขปัญหาทั้งระบบ ตั้งแต่การเข้ามาดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา ฯลฯ เพื่อลดภาระให้ประชาชนมีเงินเหลือใช้มากขึ้น การส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุมีรายได้จากการทำงาน การออกมาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี และส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ ซึ่งจะต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการจัดสรรงบประมาณจากภาครัฐในการนำมาช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างครบวงจรต่อไป
จากการสำรวจผู้บริหาร ส.อ.ท. (CEO Survey) จำนวน 216 ท่าน ครอบคลุมผู้บริหารจาก 45 กลุ่มอุตสาหกรรม และ 76 สภาอุตสาหกรรมจังหวัด มีสรุปผลการสำรวจ FTI Poll ครั้งที่ 32 จำนวน 6 คำถาม ดังนี้
1. กรณี ธปท. ได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 2.25% ต่อปี ท่านมีความกังวลมากน้อยอย่างไร?
อันดับที่ 1 : มาก 60.2%
อันดับที่ 2 : ปานกลาง 33.3%
อันดับที่ 3 : น้อย 6.5%
2. ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยในเรื่องใด (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : กำลังซื้อสินค้าของประชาชนลดลงจากภาระอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ และหนี้สินครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น 64.8%
อันดับที่ 2 : ทำให้เกิดแรงกดดันที่อาจทำให้การปรับราคาสินค้าเพิ่มตามต้นทุนจริง ทำได้ยากขึ้น และส่งผลกระทบต่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ 62.0%
อันดับที่ 3 : ชะลอการลงทุนใหม่ และมีการปรับลดกำลังการผลิตลงจากต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น 56.5%
อันดับที่ 4 : สถาบันการเงินมีความเข้มงวดมากขึ้นในการปล่อยสินเชื่อให้กับภาคธุรกิจ 46.8%
3. ภาคอุตสาหกรรมมีแนวทางในการรับมืออัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจ 70.4%
อันดับที่ 2 : ชะลอการลงทุน ปรับการบริหารกระแสเงินสดใหม่เพื่อเพิ่มเงินทุนหมุนเวียน 67.1%
อันดับที่ 3 : ปรับโครงสร้างหนี้ให้อยู่ในระดับที่สอดคล้องกับความสามารถ ในการดำเนินธุรกิจ 42.6%
อันดับที่ 4 : หาแหล่งเงินทุนใหม่นอกเหนือจากการกู้เงินผ่านสถาบันการเงิน เช่น การระดมทุน 31.5%
4. ภาครัฐควรมีมาตรการ/นโยบาย เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาขึ้นอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : ธนาคารรัฐสนับสนุนมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำให้กับผู้ประกอบการ SMEs 68.5%
อันดับที่ 2 : กำกับดูแลส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเงินฝากกับเงินกู้ (Spread) ให้ส่วนต่างลดลง รวมทั้งปรับเงื่อนไขการขอสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์ เพื่อลดภาระและช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น 67.1%
อันดับที่ 3 : ธปท. ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 58.8%
อันดับที่ 4 : ขยายระยะเวลามาตรการปรับโครงสร้างหนี้ (ฟ้า-ส้ม) ออกไปอีก 2 ปี 36.1%
5. ภาครัฐควรมีแนวทางในการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ระดับสูงอย่างไร (Multiple choices)
อันดับที่ 1 : มาตรการดูแลค่าครองชีพของประชาชน เช่น ค่าเดินทาง ค่าไฟฟ้า น้ำประปา เป็นต้น 67.6%
อันดับที่ 2 : ส่งเสริมให้เกิดการจ้างงาน สร้างอาชีพใหม่ ๆ และเปิดโอกาสให้ผู้สูงอายุ มีรายได้จากการทำงาน 61.6%
อันดับที่ 3 : มาตรการสร้างแรงจูงใจเชิงบวก (Incentives) ให้กับลูกหนี้ชั้นดี เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย การให้สิทธิประโยชน์เพิ่ม เป็นต้น 60.2%
อันดับที่ 4 : ส่งเสริมให้ประชาชนใช้มาตรการช่วยเหลือในการปรับโครงสร้างหนี้ ทั้งในส่วนของหนี้สถาบันการเงิน และหนี้นอกระบบ 58.3%
6. คาดการณ์แนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภายในสิ้นปี 2566 จะอยู่ที่ระดับใด
อันดับที่ 1 : 2.25% ต่อปี 37.5%
อันดับที่ 2 : 2.50% ต่อปี 32.4%
อันดับที่ 3 : 2.00% ต่อปี 30.1%
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- ยอดขายรถยนต์ใน 2566
- คาร์บอนเครดิต (Carbon Credit) คืออะไร ทำไมถึงต้องเร่งสร้างคาร์บอนเครดิต
- FTA ไทย มีกี่ประเทศ พอหรือไม่ ทำไมต้องคิดเรื่อง CPTPP
- 10 ตัวอย่างที่นำ 5G มาใช้งานได้อย่างน่าสนใจและประสบผลสำเร็จ
- อบรมรถยนต์ไฟฟ้า 2566 ฟรี
- เทคโนโลยีแห่ง G สู่ 5G เครือข่ายไร้สาย
- กฎหมาย ปล่องระบาย อากาศ 2565
- ยอดขายโทรศัพท์ 2023 ทั่วโลก
- GAC AION Thailand
- เปิดโผ 8 อุตสาหกรรมเด่นเติบโตสูงในปี 2566
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH