BMW Group No.1 ตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยต่อเนื่อง ทุบสถิติผลงานไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์

BMW Group No.1 ตลาดรถยนต์พรีเมียมไทย ทุบสถิติผลงานไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์

อัปเดตล่าสุด 30 เม.ย. 2564
  • Share :

♦ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ยืนหนึ่งด้วยส่วนแบ่งตลาดบีเอ็มดับเบิลยูและมินิในเซกเมนต์พรีเมียมพุ่งสู่ 48.7% พร้อมสร้างสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ 

♦ อัตราการเติบโตทะยานถึงสามหลักในหลายเซกเมนต์ ด้วยยอดขายบีเอ็มดับเบิลยู M ที่สูงขึ้นถึง 220%

♦ ยอดส่งมอบรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเพิ่มขึ้น 140% ขณะที่ยอดขายลูกค้าองค์กรโต 124% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปีก่อนหน้า 

Advertisement

บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ฉลองอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งใหญ่ หลังออกตัวอย่างร้อนแรงด้วยยอดขายที่สูงเป็นสถิติใหม่ในไตรมาสแรกของปี 2564 พร้อมครองตำแหน่งผู้นำอันดับหนึ่งในตลาดรถยนต์พรีเมียมไทยต่อเนื่อง และสานต่อความสำเร็จที่ผ่านมาในปี 2563 แม้จะต้องเผชิญหน้ากับปีที่ท้าทายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยระหว่างเดือนมกราคมถึงมีนาคม 2564 บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้สร้างการเติบโตด้านยอดขายอย่างแข็งแกร่งในทุกเซกเมนต์ ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูและมินิรวม 2,773 คัน เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่งท้ายไตรมาสแรกด้วยส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในเซกเมนต์พรีเมียมที่ 48.7% อีกทั้งยังทุบสถิติการเติบโตในระดับสามหลักจากรถยนต์ในตระกูล M รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด และกลุ่มลูกค้าองค์กร ขณะที่เซกเมนต์รถหรูและรถยนต์มือสองก็สร้างผลงานอันโดดเด่นในไตรมาสแรกเช่นกันด้วยอัตราการเติบโตในระดับสองหลัก

ต่อเนื่องจากศักราช 2563 แห่งความสำเร็จ บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ประกาศความสำเร็จด้านยอดขายอีกครั้งในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยยอดส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยูรวม 2,533 คัน เพิ่มขึ้น 41% จากปีก่อนหน้า สร้างสถิติสูงสุดครั้งใหม่ในประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ โดยเป็นผลมาจากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในเซกเมนต์รถหรูระดับไฮเอนด์ ไม่ว่าจะเป็นบีเอ็มดับเบิลยู ซีรีส์ 7, ซีรีส์ 8, X7 และ i8 ซึ่งเติบโตขึ้น 25.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ขณะที่อัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดดในระดับสามหลักของรถยนต์ในตระกูล M ได้พุ่งสูงขึ้นถึง 220% จากไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา และเป็นเครื่องสะท้อนถึงความสนใจของนักขับคนไทยในยานยนต์สมรรถนะสูงได้เป็นอย่างดี

ความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าในตลาดยานยนต์ไทยยังคงทะยานสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกัน จึงส่งผลให้รถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดของบีเอ็มดับเบิลยูมียอดการส่งมอบที่สูงขึ้นถึง 140% ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู ไฟแนนเชียล เซอร์วิส ประเทศไทย ก็ได้ช่วยสร้างสรรค์แคมเปญทางการเงินเพื่อสนับสนุนการขายรถยนต์ใหม่รวมไปถึงรถยนต์ที่ผ่านการใช้งานแล้ว ช่วยให้ยอดขายรถยนต์มือสองในโปรแกรม BMW Premium Selection ในไตรมาสแรกของปีนี้ เติบโตขึ้น 44% และยอดขายในกลุ่มลูกค้าองค์กรก็เพิ่มขึ้นถึง 124% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จทั้งหมดนี้ ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลบวกต่อความสำเร็จในภาพรวมของไตรมาสแรกในปี 2564 นี้

ด้านมินิ ประเทศไทย ก็ได้รายงานอีกหนึ่งความสำเร็จครั้งประวัติศาสตร์ด้วยยอดส่งมอบ 240 คัน ทำสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โตขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้าถึง 57% ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ก็รักษาผลงานอันแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องแม้จะต้องประสบกับความท้าทายในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ด้วยยอดส่งมอบรถมอเตอร์ไซค์รวม 281 คัน

สำหรับในระดับโลก ยอดขายของทุกแบรนด์ภายใต้บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปได้เติบโตขึ้นทั่วโลกในไตรมาสแรกของปี 2564 โดยได้ส่งมอบรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู มินิ และโรลส์รอยซ์ทั่วโลกรวม 636,606 คัน เพิ่มขึ้น 33.5% จากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า ซึ่งอัตราการเติบโตที่แข็งแกร่งนี้เป็นผลสะท้อนมาจากความต้องการรถยนต์พลังงานไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก ด้วยอัตราการเติบโตปีต่อปีถึง 129.8% จากยอดส่งมอบรถยนต์พลังงานไฟฟ้าล้วนและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในภูมิภาคต่าง ๆ รวม 70,207 คัน ส่วนรถมอเตอร์ไซค์และสกูตเตอร์บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด มียอดส่งมอบรวม 42,592 คันทั่วโลกในไตรมาสแรก โตขึ้น 22.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า สร้างสถิติยอดขายประจำไตรมาสแรกที่ดีที่สุดในประวัติศาสตร์

มร. อเล็กซานเดอร์ บารากา ประธาน บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า “ปี 2563 นับเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย ที่ได้ก้าวขึ้นมาสู่ตำแหน่งผู้นำของตลาดยานยนต์พรีเมียมไทย ด้วยความมุ่งมั่นที่ผู้จำหน่ายและพนักงานทุกคนทุ่มเทให้กับบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทยตลอดมา ในปีนี้เราก็ได้สร้างความสำเร็จที่จะต้องจารึกในหน้าประวัติศาสตร์ของบริษัทฯ อีกครั้งในฐานะผู้นำอันดับหนึ่งของตลาดยานยนต์พรีเมียมไทยในไตรมาสแรกของปีนี้ ส่วนแบ่งตลาดของเราซึ่งนำอยู่ที่48.7% เป็นข้อพิสูจน์ว่าไม่ว่าจะในสถานการณ์ใด บีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป จะยังคงยึดมั่นในภารกิจเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรมสำหรับความต้องการทุกด้านของผู้บริโภค โดยเราได้นำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่เปี่ยมด้วยความยืดหยุ่นอย่างรอบด้าน ควบคู่กับการตอบโจทย์ด้านไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนแปลงไปของลูกค้าในยุคนี้ ภายในเวลาเพียงสามเดือนที่ผ่านมา เราได้ส่งรถยนต์กว่าสิบรุ่นสู่ตลาดประเทศไทย ซึ่งในปัจจุบันนี้ เรานำเสนอเทคโนโลยีที่ครอบคลุมทั้งระบบขับเคลื่อนแบบดีเซล เบนซิน ปลั๊กอินไฮบริด และระบบไฟฟ้าพลังงานแบตเตอรี่ BEV ตลอดไปจนถึงรถยนต์สปอร์ตสมรรถนะสูงอย่างตระกูล M

“สำหรับรถยนต์บีเอ็มดับเบิลยู เราได้เปิดตัวบีเอ็มดับเบิลยูซีรี่ส์ 5, บีเอ็มดับเบิลยู X7 xDrive30d M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู 330Li M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู M340i xDrive, บีเอ็มดับเบิลยู M4 Competition Coupé, และยังได้เปิดตัวรุ่น M Performance Edition สำหรับบีเอ็มดับเบิลยู X3 xDrive20d M Sport, บีเอ็มดับเบิลยู X4 xDrive20d M Sport X และบีเอ็มดับเบิลยู 330e M Sport ส่วนมินิ ก็ได้สร้างความเร้าใจในสไตล์ที่ไม่ซ้ำใครด้วย มินิ คูเปอร์ เอส คันทรีแมน, มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ GP Inspired Edition, มินิ จอห์น คูเปอร์ เวิร์คส์ คันทรีแมน และมินิ Paddy Hopkirk Edition ซึ่งเพิ่งเผยโฉมเซอร์ไพรส์แฟน ๆ ไปในงานบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์ โชว์ที่ผ่านมา ขณะที่บีเอ็มดับเบิลยู มอเตอร์ราด ประเทศไทย ก็ได้สานต่อตำนานอันเป็นเอกลักษณ์สุดคลาสสิกด้วยบีเอ็มดับเบิลยู R 18 Classic First Edition นอกจากนี้ เรายังได้ต่อยอดประสบการณ์ด้านดิจิทัลด้วยแอป My BMW และ MINI App เพื่อผสานการเชื่อมต่อระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ผ่านสมาร์ทโฟนได้อย่างสะดวกสบายยิ่งขึ้น

“และที่สำคัญที่สุด ผมต้องขอขอบคุณลูกค้าของบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ปทุกท่าน ที่ได้ให้ความไว้วางใจในทุกแบรนด์ของเราตลอดมา รวมถึงผู้จำหน่ายอย่างเป็นทางการทุกรายของเรา ที่เป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญในทุกความสำเร็จ ผมมั่นใจว่าเราจะร่วมกันเดินต่อไปบนเส้นทางนี้ได้อีกยาวไกล เพื่อสานต่อและปูทางสู่ความสำเร็จในตลาดยานยนต์พรีเมียมไทยอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีนี้” มร. บารากากล่าว