กกรค่าไฟ, กกรแถลง, ค่าไฟแพง, ค่าไฟฟ้าแพง, ค่าไฟฟ้าปี 2566, ค่าไฟขึ้น 2566, สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย, หอการค้าไทย, วิกฤตพลังงาน, อุตสาหกรรมไทย, ลดต้นทุน, Energy

กกร. หวั่นใจขึ้นค่าไฟ ผนึกภาคธุรกิจ วอนรัฐจับมือหาทางออกลดต้นทุนพลังงาน

อัปเดตล่าสุด 23 ธ.ค. 2565
  • Share :
  • 1,322 Reads   

กกร. สะท้อนความกังวลการปรับขึ้นค่าไฟฟ้างวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ย้ำภาครัฐเร่งแก้ปัญหา ชี้ผลกระทบต่อภาคธุรกิจ - อุตสาหกรรม - ประชาชน

วันที่ 23 ธันวาคม 2565 คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) นำโดยผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย จัดแถลงข่าวเรื่อง “ผลกระทบจากการขึ้นค่าไฟและข้อเสนอของภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ การเงิน” ณ ห้อง M4 ชั้น 23 โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ บางกอก คอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ 

ตามที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (กกพ.) ได้จัดประชุม กกพ. ครั้งที่ 58/2565 เมื่อวันที่ 14 ธันวาคม 2565 พิจารณาผลการคำนวณค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เสนอตามแนวทางที่คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เห็นชอบ ประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่อัตรา 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นที่อัตรา 190.44 สตางค์ต่อหน่วย ซึ่งการคำนวณค่า Ft ตามแนวทางนี้ จะทำให้ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยอยู่ในระดับเท่าเดิมที่อัตรา 4.72 บาทต่อหน่วย ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทอื่นจะมีค่าไฟฟ้าเฉลี่ยอยู่ที่อัตรา 5.69 บาทต่อหน่วยนั้น ผลจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึงสองงวดติดต่อกันเช่นนี้ ย่อมส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทยอยปรับขึ้นราคาสินค้า เนื่องจากพลังงานเป็นต้นทุนหลักของภาคการผลิตและภาคบริการ 

คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ในฐานะตัวแทนของภาคเอกชน ซึ่งนำโดยผู้แทนจากสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และผู้แทนจากสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้สะท้อนความกังวลจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าประจำงวดเดือนมกราคม-เมษายน 2566 โดยเน้นย้ำว่าภาครัฐจะต้องเร่งแก้ไขปัญหาค่าไฟสูง เพราะนอกจากจะกระทบต่อภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ที่ต้องแบกรับภาระค่าไฟสูงมากขึ้นเรื่อยๆ  

นายอิศเรศ รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ชี้แจงถึงผลกระทบและข้อเสนอของภาคอุตสาหกรรม การค้าและบริการ การเงิน ว่าภาครัฐควรพิจารณามาตรการการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานสูงอย่างเร่งด่วน 

“ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้มีการติดตามถึงสถานการณ์ความผันผวนและราคาพลังงาน รวมไปถึงการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าที่ภาคอุตสาหกรรมได้รับผลกระทบมาโดยตลอด และจากการประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน (กกร.) เมื่อวันที่ 7 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา มีมติเสนอให้ภาครัฐชะลอการปรับขึ้นค่า Ft เดือน มกราคม-เมษายน 2566 ออกไปก่อน เนื่องจากการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าในอัตราที่สูงมากถึงสองงวดติดต่อกัน ย่อมจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อภาระค่าครองชีพของประชาชนและครัวเรือน และต้นทุนในการดำเนินธุรกิจทั้งภาคการผลิตและภาคบริการที่ยังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากผลกระทบทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเป็นการบั่นทอนขีดความสามารถในการแข่งขันประเทศ เนื่องจากภาคการผลิตและภาคบริการเป็นหนึ่งในภาคอุตสาหกรรมหลักที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ และเพื่อเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพให้แก่ประชาชน ภาครัฐควรพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนพลังงานสูงและการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าอย่างเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อให้ผู้ประกอบการได้ขับเคลื่อนธุรกิจอย่างเข้มแข็งและมีศักยภาพสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้”

ด้าน นายสุรงค์ บูลกุล รองประธานกรรมการหอการค้าไทย กล่าวเสริมว่า “ไฟฟ้าเป็นปัจจัยสำคัญต่อการพัฒนาประเทศ การปรับขึ้น-ลงค่าไฟฟ้าจะส่งผลต่อราคาสินค้าและบริการและความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ตลอดจนการดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) และโอกาสการย้ายฐานการผลิตมายังประเทศไทย การปรับค่า Ft แม้จะมีการปรับเพิ่มต่อเนื่องจนในปัจจุบันอยู่ที่ 93.43 สตางค์ต่อหน่วย ก็ยังอยู่ในวิสัยที่ภาคธุรกิจและครัวเรือนรองรับได้ แต่การปรับที่จะเกิดขึ้นในเดือนมกราคม-เมษายน 2566 ทำให้ต้นทุนการผลิตเพิ่มสูงขึ้น กระทบต่อเงินเฟ้อที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.5% ทำให้อัตราเงินเฟ้อที่คาดการณ์ไว้ว่าในปี 2566 จาก 3.0% อาจแตะที่ 3.5% ขณะที่อัตราดอกเบี้ยก็มีแนวโน้มเป็นทิศทางขาขึ้น ยิ่งจะซ้ำเติมผู้ประกอบการมากขึ้น ดังนั้น นอกเหนือจากการส่งข้อเสนอไปยังภาครัฐบาลแล้ว ภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน จำเป็นต้องมีการปรับตัวในการใช้ไฟฟ้าอย่างเหมาะสมเช่นกัน”

นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2565 ที่ผ่านมา กกร. ยังได้ยื่นเสนอให้รัฐบาลพิจารณาแนวทางในการบรรเทาภาระผู้ประกอบการจากการปรับอัตราค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) ของเดือนมกราคม - เมษายน 2566 แล้ว ครอบคลุม 5 ประเด็น ได้แก่

1. ตรึงราคาค่าไฟฟ้าในกลุ่มบ้านอยู่อาศัย โดยต้องไม่ผลักภาระต้นทุนส่วนเพิ่มมาให้เป็นภาระของผู้ใช้ไฟฟ้าส่วนที่เหลือ แต่ภาครัฐควรหางบประมาณจากส่วนอื่นมาช่วยเหลือกลุ่มบ้านอยู่อาศัยแทนและภาครัฐควรเจรจาลดค่า AP จากโรงไฟฟ้าเอกชนเป็นการชั่วคราวในช่วงวิกฤตพลังงานสูง

2. ขยายเพดานหนี้ 2 ปี ให้ กฟผ. ด้วยการเพิ่มเพดานเงินกู้เฉพาะกิจ จัดสรรวงเงินให้ยืม และชะลอการส่งเงินรายได้เข้าคลัง เนื่องจากภาระต้นทุนค่าเชื้อเพลิงและค่าซื้อไฟฟ้าที่ กฟผ. ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ รับภาระแทนประชาชนไปก่อนนั้น เป็นการสมควรและอยู่ในวิสัยที่ภาครัฐจะบริหารจัดการให้ กฟผ. สามารถเพิ่มการรับภาระได้มากขึ้น และยาวนานขึ้นได้มากกว่า 2 ปี

3. ปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า

3.1   ขอให้มีการปรับค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ (Ft) แบบขั้นบันได สำหรับผู้ใช้ไฟน้อย ก็จ่ายในอัตราที่ถูกกว่าผู้ที่ใช้ไฟเยอะ ให้จัดเก็บคนละอัตรา เพื่อลดผลกระทบต่อผู้ประกอบการ และการนำค่าไฟฟ้าส่วนเพิ่มครั้งนี้ มาหักค่าใช้จ่ายหรือลดหย่อนภาษีได้ 2 - 3 เท่า เพื่อแบ่งเบาภาระให้ผู้ประกอบการ

3.2   ส่งเสริมให้ผู้ประกอบการมีการปรับตัวหรือบริหารจัดการพลังงาน เช่น การปรับกระบวนการผลิตให้มาใช้ไฟฟ้าในช่วง Off-Peak มากขึ้น 

4. เพื่อให้เกิดความมั่นคงทางพลังงานโดยไม่พึ่งพาจากแก๊สธรรมชาติมากเกินไป รัฐบาลควรส่งเสริมการใช้พลังงานทางเลือกอื่นมากขึ้น โดยส่งเสริมการติดตั้ง Solar Cell เพื่อใช้เองให้มากขึ้น โดยเน้นการใช้พลังงานจากแสงอาทิตย์ เป็นการชั่วคราวในช่วงวิกฤตพลังงาน และสามารถขายไฟฟ้าที่ผลิตได้ส่วนเกิน กลับให้การไฟฟ้าด้วยการปลดล็อคเรื่องใบอนุญาต รง.4 ขยายกำลังไฟฟ้าเกิน 1 MW (แต่ไม่เกินกำลังไฟฟ้าปรกติเดิมที่เคยใช้) ลดภาษีนำเข้าของแผง Solar Cell และอุปกรณ์เช่น Inverter และอื่นๆ รวมทั้งพิจารณาระบบ Net metering สำหรับอุตสาหกรรมและบริการ

5. มีส่วนร่วมกับภาคเอกชนในด้านพลังงานให้มากขึ้น โดยเสนอให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมภาครัฐและเอกชนด้านพลังงาน (กรอ. ด้านพลังงาน)

สำหรับผลกระทบจากการปรับขึ้นค่าไฟในแต่ละภาคอุตสาหกรรมและการบริการ นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี กล่าวว่า “เรากำลังประสบวิกฤติซ้อนวิกฤติ ในขณะที่เพิ่งฟื้นจากการแพร่ระบาดโควิด-19 แล้วมาได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งรัสเซีย-ยูเครน ราคาพลังงานพุ่งสูง เงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลกระทบรุนแรงทุกภาคส่วน สำหรับภาคอุตสาหกรรมการผลิต ทั้งขนาดใหญ่และ SMEs มีต้นทุนสูงขึ้นอย่างมาก ที่ผ่านมา ได้พยายามปรับตัวมาตลอด เช่น การใช้พลังงานทดแทน การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อลดต้นทุนและผลกระทบต่อผู้บริโภค ซึ่งหากมีการปรับขึ้นค่าไฟฟ้าโดยอัตโนมัติ หรือค่า Ft จะทำให้ต้นทุนการผลิตกระโดดสูงขึ้นทันที

โดยในระยะสั้น ราคาสินค้าและบริการต้องปรับสูงขึ้นตาม ส่งผลให้ค่าครองชีพประชาชนและเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้น ผู้ประกอบการบางรายอาจไม่สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้ ขณะที่ระยะยาว ไทยจะสูญเสียความสามารถในการแข่งขันทั้งตลาดในประเทศและการส่งออก ไม่สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ได้ เพราะต้นทุนค่าไฟฟ้าในไทยสำหรับภาคอุตสาหกรรมและธุรกิจจะสูงกว่าประเทศอื่นๆ ในแถบเดียวกัน เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย กว่า 50-120% ขอบคุณรัฐบาลที่เข้าใจสถานการณ์และเห็นใจประชาชน จึงนำเรื่องการปรับค่า Ft มาพิจารณาอีกครั้ง ผมเชื่อว่าจะช่วยลดผลกระทบต่อทุกภาคส่วน และทำให้ไทยยังคงมีศักยภาพแข่งขันในตลาดโลก”

ในมุมมองของผู้ค้าปลีก นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย ได้สะท้อนว่าจากสถานการณ์โควิด-19 ที่ผ่านมา ภาคค้าปลีกและบริการได้ถูกล็อคดาวน์หลายครั้งอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน จนถึงปัจจุบันนี้สถานการณ์ได้เริ่มที่จะผ่อนคลายจากการเปิดประเทศ ธุรกิจยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว รวมทั้งนักท่องเที่ยวต่างชาติ ก็กลับมาเพียง 1 ใน 4 จากช่วงก่อนโควิด-19 
 
ในปีนี้ภาคค้าปลีกและบริการ ประสบปัญหาเรื่องค่าใช้จ่ายและต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นต้นทุนทางการเงินที่สูงขึ้น เพราะมีการปรับดอกเบี้ยขึ้น ค่าแรงงานขั้นต่ำที่ปรับเพิ่มขึ้น และค่าพลังงานที่เป็นค่าน้ำมันและค่าไฟฟ้าที่สูงขึ้น ซึ่งโดยปกติ สัดส่วนค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าของภาคค้าปลีกและบริการเป็นสัดส่วน 20% -50% แล้วแต่ประเภทธุรกิจ โดยปัจจุบันมูลค่าค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าที่จ่ายอยู่ เป็นเงินกว่า 30,000 ล้านบาทต่อปี หากต้องปรับเพิ่มค่า Ft จะมีผลให้ค่าไฟฟ้าสูงขึ้นอีกกว่า 20% หรือประมาณ 6,000 ล้านบาท ภาคค้าปลีกและบริการเอง ได้มีการพยายามแก้ไขปัญหาและจัดการด้านพลังงานด้วย การหาพลังงานทดแทนมาเสริม เช่น การติดตั้ง Solar rooftop ใช้อุปกรณ์ช่วยประหยัดพลังงาน การปรับใช้แสงธรรมชาติมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังไม่สามารถที่จะมาทดแทนกับค่าใฟฟ้าที่สูงขึ้น

ดังนั้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือให้ SMEs  2.4 ล้านราย และการจ้างงานกว่า 13 ล้านคนในภาคค้าปลีกและบริการอยู่รอด จึงขอเสนอภาครัฐให้ทบทวนและพิจารณา 3 ประเด็น ดังนี้

1. ขอให้ภาครัฐมีนโยบายตรึงราคาค่าไฟฟ้าสำหรับผู้ประกอบการเหมือนกับที่ภาครัฐตรึงราคาน้ำมันครั้งที่ผ่านมา เพราะไฟฟ้ามีความสำคัญเทียบเท่ากับน้ำมัน ซึ่งมีผลกับต้นทุนการผลิตเป็นอย่างมาก  
2. ขอให้มาตรการลดหย่อนภาษีได้ 3 เท่า สำหรับค่าใช้จ่ายอุปกรณ์เพื่อการประหยัดพลังงาน และงดเก็บภาษีนำเข้าอุปกรณ์ต่างๆ ที่ต้องใช้ในเรื่องของการลงทุนด้านพลังงานทดแทน 
3. ขอให้พิจารณาทบทวนโครงสร้างการคิดค่า FT ให้สอดคล้อง และถูกต้องเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ผลิต ผู้จำหน่ายและผู้บริโภค โดยไม่เป็นการเอื้อประโยชน์แก่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

นางมาริสา สุโกศล หนุนภักดี นายกสมาคมโรงแรมไทย กล่าวว่า “ธุรกิจโรงแรมนับเป็น great multiplayer เป็นธุรกิจสำคัญที่กระจายรายได้สู่ภาคครัวเรือนและเชื่อมโยงกับภาคขนส่ง ภาคค้าส่ง ค้าปลีก และภาคเกษตรกรรม ซึ่งการแพร่ระบาดโควิด-19 ตลอดเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจโรงแรมและที่พัก มีต้นทุนภาระหนี้สินที่รอการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว โดยการท่องเที่ยวปีหน้ายังมีภาวะความเสี่ยงสูงจากเศรษฐกิจโลกที่ถดถอย เงินเฟ้อในประเทศที่ปรับตัวสูงต่อเนื่อง กำลังซื้อของคนไทยที่ลดลง ต้นทุนการประกอบธุรกิจเพิ่มขึ้น ทั้งค่าจ้าง วัตถุดิบ โดยค่าไฟเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายที่สูงที่สุด ซึ่งปกติไม่เกิน 5% ของรายได้ แต่ปัจจุบันปรับสูงถึง 6-8% และก่อนสถานการณ์โควิด-19 ค่าไฟสัดส่วนของต้นทุนเท่ากับ 5% แต่ปัจจุบันเพิ่มขึ้นประมาณ 11% ซึ่งไม่สามารถผลักภาระค่าใช้จ่ายให้ลูกค้าได้ แตกต่างจากธุรกิจอื่น หรือสายการบินในต่างประเทศ ที่มี fuel surcharge จึงอยากให้ภาครัฐช่วยเหลือธุรกิจโรงแรมให้ฟื้นตัว อาทิ ความเป็นไปได้ที่จะไม่ปรับขึ้นราคาไฟฟ้าเพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวและบริการเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจได้อย่างเต็มที่ 

ในช่วงเวลาที่ประเทศยังต้องการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจ ขอยกเลิกค่า minimum charge สำหรับธุรกิจโรงแรมให้ธุรกิจได้มีโอกาสฟื้นตัว เสนอจัดตั้งกองทุนเพื่อสนับสนุนการลงทุนในเครื่องจักร เทคโนโลยีต่างๆ ที่ช่วยประหยัดการใช้พลังงาน และการลงทุนนำพลังงานทางเลือกมาใช้ในโรงแรม เพื่อช่วยลดต้นทุน ลดการใช้พลังงานไฟฟ้า ลดการปล่อยคาร์บอน และสอดรับกับมาตรการปรับราคาคาร์บอนก่อนข้ามพรมแดนของสหภาพยุโรป (CBAM) และให้นำค่าใช้จ่ายในการลงทุนมาลดหย่อนภาษีเพื่อเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ”

นายสุวัฒน์ กมลพนัส ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์กลุ่มพลังงานหมุนเวียน ส.อ.ท. กล่าวเสริมว่า “จากการวางแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศ (PDP) ของไทยฉบับ PDP 2018 ได้มีการประมาณการว่าราคาก๊าซธรรมชาติเหลวนำเข้า (LNG) จะอยู่ในระดับ 10 เหรียญต่อล้านบีทียูเป็นระยะเวลาไปอีก 20 ปี ทำให้มีแผนที่จะพึ่งพาก๊าซธรรมชาติในการผลิตไฟฟ้าในสัดส่วนที่สูงถึง 53% แต่จากภาวะที่ผันผวนของราคาพลังงานในปัจจุบันไม่ว่าจะปัจจัยจากโควิด-19 หรือสงครามที่ยืดเยื้อ เราพบว่าราคาของก๊าซธรรมชาติเหลว ไม่เป็นไปตามที่คาดการณ์และราคามีความผันผวน โดยในปีนี้บางขณะมีราคาสูงถึง 60 เหรียญต่อล้านบีทียู และปัจจุบันได้อยู่ในจุดที่คงที่ประมาณ 30 เหรียญต่อล้านบีทียู และยังมีแนวโน้มที่จะคงค่าอยู่ในระดับนี้ไปอีกนาน ดังนั้นสมมติฐานเดิมที่ใช้ในการทำแผน PDP ว่าราคาแก๊สธรรมชาติที่ใช้ผลิตไฟฟ้าจะมีราคาคงที่ในระดับต่ำ น่าจะไม่ใช่สมมติฐานที่ถูกต้อง ซึ่งอาจทำให้ค่าไฟฟ้าในประเทศไทยในอนาคตจะมีราคาสูงเกินไปตามราคาก๊าซธรรมชาติ เพราะต้นทุนของเชื้อเพลิงการผลิตจะถูกส่งต่อไปให้ผู้ใช้ไฟฟ้าตามโครงสร้างค่าไฟฟ้าของไทยในปัจจุบัน

ในทางกลับกัน ราคาไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน ประเภทที่ไม่มีเชื้อเพลิง ได้แก่ ลมและแสงอาทิตย์ จะมีราคาคงที่ตลอด 25 ปี เนื่องจากต้นทุนหลักมาจากค่าก่อสร้างแค่ในครั้งแรก ดังนั้น ค่าไฟฟ้าจึงสามารถกำหนดได้ในระยะยาวและคงที่อย่างแท้จริง และในปัจจุบันเทคโนโลยีได้ก้าวไปไกล ทำให้ต้นทุนการตั้งโรงไฟฟ้าทั้งลมและแสงอาทิตย์ มีราคาที่ถูกลง ดังจะเห็นได้จากการรับซื้อไฟฟ้าในปัจจุบันของพลังงานหมุนเวียน ที่จะทำสัญญารับซื้อไฟฟ้าในราคาเพียง 2.16 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ และ 3.1 บาทต่อหน่วยสำหรับโรงไฟฟ้าพลังงานลม หรือแม้แต่โรงไฟฟ้าแสงอาทิตย์ที่มีแบตเตอรี่ เพื่อให้จ่ายไฟได้คงที่ตลอดช่วงเวลาที่ต้องการใช้ ก็มีราคารับซื้อเพียง 2.83 บาทต่อหน่วย ซึ่งจะเห็นว่ามีราคาที่ถูกกว่าค่าไฟฟ้าขายปลีกในปัจจุบันอย่างมาก และที่สำคัญราคารับซื้อนี้จะไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดอายุสัญญา 25 ปีแม้ว่าราคาพลังงานในโลกจะสูงหรือต่ำเพียงใดก็ตาม ประกอบกับการใช้พลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มขึ้น นอกจากประเทศไทยจะได้ใช้ไฟฟ้าที่มีราคาถูกแล้วยังตอบโจทย์ด้านความสะอาด และความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกด้วย  

ดังนั้น ทางกลุ่มพลังงานหมุนเวียนของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) จึงเรียกร้องให้ภาครัฐได้ทบทวนสมมติฐานในการทำแผน PDP ใหม่ โดยลดสัดส่วนการพึ่งพาก๊าซธรรมชาติ โดยเฉพาะในส่วนก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ที่ต้องนำเข้า และไม่สามารถควบคุมต้นทุนได้ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะค่าไฟฟ้าสูงเช่นนี้ โดยเพิ่มสัดส่วนของการใช้พลังงานหมุนเวียน รวมถึงการใช้เทคโนโลยีกักเก็บพลังงานมาร่วมด้วยเพื่อให้การจ่ายไฟฟ้าเป็นราคาที่คงที่ อีกทั้งยังเป็นไฟฟ้าสีเขียว ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาขีดความสามารถของอุตสาหกรรมไทย”

หากภาครัฐ รับฟังข้อเสนอแนะดังกล่าว และพร้อมร่วมมือกับภาคเอกชนหาทางออกเพื่อแก้ไขปัญหาค่าไฟสูงไปด้วยกัน ก็จะส่งผลให้การดำเนินธุรกิจเติบโต สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ รวมทั้งต่อลมหายใจให้กับประชาชนคนไทยต่อไป  

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH