Arvind-Krishna-CEO-IBM-Think-Digital-2020

IBM ชี้ AI และ Hybrid Cloud คือ เทคโนโลยีอนาคตที่ทุกธุรกิจจะต้องมี

อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 2563
  • Share :

ถ้อยแถลงจาก Mr. Arvind Krishna CEO บริษัท IBM กล่าวผ่านงานสัมมนาออนไลน์ “Think Digital Event Experience 2020” เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ตอกย้ำภาวะการณ์ปัจจุบันที่ทั่วโลกต่างได้รับผลกระทบของโควิด-19 และเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจในยุค Digital Transformation ข้อความสำคัญที่ IBM ส่งผ่านครั้งนี้ คือ “ปัญญาประดิษฐ์ (AI: Artificial Intelligence) และ ไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) จะกลายเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นต่อองค์กรธุรกิจทุกแห่ง” นี่เป็นอีกครั้งที่ถ้อยแถลงชัดเจน หากย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีที่แล้ว เมื่อ IBM ออกมาประกาศว่าทุกบริษัทจะต้องมีอินเทอร์เน็ต หลายคนมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่วันนี้เราต่างประจักษ์ชัดในคำประกาศนั้น

“วิกฤตโควิด-19 เป็นการดิสรัปชันที่ทรงพลัง เป็นโศกนาฏกรรมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน และเป็นจุดเปลี่ยนของธุรกิจ “

จากสถานการณ์ของโรคโควิด ทำให้ IBM ปรับเปลี่ยนงานประชุมใหญ่ประจำปีเป็นงานสัมมนาออนไลน์ “Think Digital Event Experience 2020” ซึ่งได้จัดขึ้นเมื่อวันที่ 5-6 พฤษภาคม ที่ผ่านมา มีผู้ลงทะเบียนร่วมชมกว่า 90,000 คนด้วยกัน งานนี้ Mr. Arvind Krishna CEO บริษัท IBM ในฐานะ Keynote speaker ได้เปิดเผยวิสัยทัศน์ต่อการดำเนินธุรกิจกับการเผชิญวิกฤตโควิด-19 ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้เห็นจุดอ่อนของหลายองค์กร ในขณะที่หลายแห่งมีการปรับตัวเลือกใช้ AI และสถาปัตยกรรม IT บนระบบไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud-Based IT Architectures) มาสร้างเครือข่ายการทำงานที่รวดเร็ว และยืดหยุ่น รวมถึงรองรับการมาของเทคโนโลยีอื่น ๆ ในอนาคตอย่างเครือข่ายการสื่อสารไร้สาย 5G และ Edge Computing พร้อมคาดการณ์ว่า ในอนาคตทุกบริษัทจะมี AI เป็นของตัวเอง 

Mr. Arvind Krishna อธิบายว่า สำหรับองค์กรธุรกิจในยุคแห่ง Digital Transformation จะเป็นการนำ AI มาเป็นศูนย์กลางในกระบวนการทำงาน และใช้ข้อมูลเชิงลึกที่ได้นำมาพัฒนาสินค้าและบริการให้ดียิ่งขึ้น โดย ยกตัวอย่างถึง Anthem, Inc. บริษัทประกันสุขภาพรายใหญ่ที่ประสบความสำเร็จในการทำ Digital Transformation ซึ่ง Mr. Rajeev Ronanki รองประธาน และ CDO บริษัท Anthem กล่าวแสดงความเห็นว่า AI เข้ามาช่วยพัฒนาระบบประกันสุขภาพให้กลายเป็นการตลาดเชิงรุก สามารถคาดการณ์ล่วงหน้า และเสนอแนวทางการดูแลรักษาที่เป็นส่วนตัวได้มากขึ้น

อีกหนึ่งสิ่งที่จะมาควบคู่กับ AI ก็คือไฮบริดคลาวด์ (Hybrid Cloud) ซึ่งเป็นการรวมกันระหว่างพับบลิกคลาวด์ (Private Cloud) และไพรเวทคลาวด์ (Public Cloud) จึงเป็นโครงสร้างทาง IT ที่มีข้อได้เปรียบ และมีความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยมีข้อดีคือสามารถนำมาผนวกเข้ากับโครงสร้างเครือข่ายเดิมที่องค์กรมีอยู่ได้ ทำให้ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับโครงสร้างแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง มีความยืดหยุ่นสูง สามารถประมวลผลไปพร้อมกับการบันทึกข้อมูล ซึ่งเป็นคุณสมบัติที่เหมาะสำหรับโรงงาน และสายการผลิตเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ IBM ยังได้เปิดตัวสองเทคโนโลยีใหม่ คือ “AI for IT” เทคโนโลยี AI สำหรับโครงสร้างพื้นฐานทาง IT อัตโนมัติ ด้วยการใช้ AI ทำหน้าที่วิเคราะห์ และตอบสนองต่อข้อผิดพลาดในระบบแบบเรียลไทม์ และอีกเทคโนโลยีคือ โปรแกรมสำหรับผู้พัฒนาอิสระ และผู้ให้บริการ Software as a Service (SaaS) เพื่อให้โปรแกรมที่พัฒนาขึ้น เป็นไปตามมาตรฐานและสามารถใช้งานบนระบบคลาวด์ได้

แน่นอนว่า หากกล่าวถึง AI แล้ว หลายคนอาจมีความเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัวเกินไป แต่สำหรับ IBM ซึ่งเคยประกาศว่า “ทุกบริษัทจะมีอินเตอร์เน็ต” ไว้เมื่อ 20 ปีก่อนหน้านี้แล้ว คำกล่าวในครั้งนี้ อาจไม่ใช่เรื่องเกินจริงก็เป็นได้