ค่ายรถลังเล ลงทุนในจีน ยังคุ้มค่า อยู่หรือไม่?

อัปเดตล่าสุด 7 เม.ย. 2563
  • Share :

สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว ประเทศจีนเป็นตลาดที่มีความสำคัญมากจากสัดส่วนยอดขาย 30% ของทั้งตลาดโลก ทำให้หลายค่ายรถที่เข้าสู่ตลาดจีนได้สำเร็จมีการเติบโตอย่างเด่นชัด อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลังมานี้ ค่าแรงที่เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด รวมถึงผลกระทบจากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ และการระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ตลาดยานยนต์จีนประสบปัญหานานาประการ ซึ่งเมื่อพิจารณาร่วมกับยอดขายที่ตกลงอย่างต่อเนื่องมา 2 ปี ค่าแรงที่สูงขึ้น และการกระจายความเสี่ยงทางด้านซัพพลายเชนแล้ว ทำให้ผู้ผลิตยานยนต์เริ่มลังเลว่า การลงทุนในจีน จะยังคงคุ้มค่าหรือไม่

ภาพรวมตลาดยานยนต์ในจีน

China Association of Automobile Manufacturers รายงานว่าในปี 2019 ที่ผ่านมา ยอดขายยานยนต์ใหม่อยู่ที่ 25,770,000 คัน ลดลงจากปีก่อนหน้า 8.2% และเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ซึ่งมีสาเหตุหลักมาจากการบริโภคที่ลดลงเพราะสงครามการค้า ในขณะที่ตลาดสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ก็ยังมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง ซึ่งสำนักวิเคราะห์ตลาดยานยนต์ MarkLines รายงานว่า ในปี 2019 รถญี่ปุ่นทำยอดขายในจีนได้ 4,560,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 2.7% ซึ่ง Mr. Koichi Sugimoto นักวิเคราะห์อาวุโสจาก Mitsubishi UFJ Securities แสดงความเห็นว่า “เป็นเพราะผู้บริโภคจีนให้ความสำคัญกับคุณภาพรถมากขึ้น”

โดยค่ายที่มีการเติบโตของยอดขายในจีนอย่างโดดเด่นคือ Toyota ซึ่งทำยอดได้ 1,620,000 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 9% ซึ่ง Mr. Didier Leroy อดีตรองประธานบริษัท แสดงความเห็นว่าสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึงในตลาดจีนคือยานยนต์มือสอง แต่ที่ Toyota ทำยอดขายเพิ่มได้ เป็นเพราะการไม่ยอมลดราคาเพื่อให้มูลค่าของรถลดต่ำลง

แล้วปัญหาคืออะไร?

การระบาดของไวรัสโคโรน่าทำให้ตลาดยานยนต์จีนเกิดการชะลอตัวเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติที่ท้ายสุดเมื่อการระบาดสิ้นสุดลงจะต้องมีการฟื้นตัวเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม ค่ายรถญี่ปุ่นแสดงความเห็นว่า ตลาดยานยนต์จีนยากจะฟื้นตัวกลับมาสู่จุดเดิมได้ 

สาเหตุที่มีความเห็นเช่นนี้ เป็นผลมาจากแนวทางการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์จีนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งมีการเติบโตของธุรกิจจำนวนมากจากมาตรการ NEV: New Energy Vehicle ที่รัฐบาลจีนผลักดันอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม สงครามการค้าทำให้รัฐบาลจีนกดดันผู้ผลิตยานยนต์ให้พัฒนารถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น สวนทางกับโครงสร้างซัพพลายเชนที่ติดขัดจากมาตรการกีดกันทางการค้าโดยสหรัฐฯ ทำให้ภาระมาตกกับผู้ผลิตแทนที่

Toshihide Kinoshita นักวิเคราะห์จาก SMBC NIKKO SECURITIES แสดงความเห็นว่า “ต่อให้ไม่มีการระบาดของโรคโควิด-19 ตลาดยานยนต์จีนในปี 2020 นี้ก็จะเป็นปีที่ยากลำบากอยู่ดี”

อนาคตอาจไม่คุ้ม

สถานการณ์โรคโควิด-19 ทำให้ปัญหาในระบบซัพพลายเชนของตลาดยานยนต์จีนเป็นที่สังเกตเห็นได้มากขึ้น สืบเนื่องจากการเข้าลงทุนฐานการผลิตในจีนอย่างต่อเนื่อง ทำให้เมื่อวิกฤตเกิดขึ้น สายการผลิตในโรงงานหลายแห่งจึงต้องหยุดชะงัก ทำให้บริษัทที่พึ่งพาชิ้นส่วนจากจีนไม่อาจผลิตต่อได้ตามกำหนด โดย Nissan รายงานว่า การรวมศูนย์การผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไว้ในจีนมากเกินไป ทำให้สายการผลิตยานยนต์มีปัญหาทั้งระบบ ซึ่งเมื่อคำนึงถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นแล้ว ฝ่ายบริหารของบริษัทแสดงความเห็นว่า “ต้องพิจารณากันแล้วว่า การลงทุนในจีน ยังคุ้มค่าหรือไม่”

แน่นอนว่า จีนยังคงเป็นตลาดยานยนต์ขนาดใหญ่ และไม่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงไปอีกหลายปี แต่เมื่อคำนึงถึงปัจจัยเสี่ยงอย่างกรณีโรคระบาดในครั้งนี้แล้ว ค่ายรถหลายค่ายอาจจะต้องพิจารณาการเพิ่มฐานการผลิตในภูมิภาคอื่นเพื่อกระจายความเสี่ยงมากขึ้น