“อัพเดตชีวิต” คีย์เวิร์ดสำคัญใน 3 ปีถัดไปของ Panasonic
“อัพเดตชีวิต” คีย์เวิร์ดสำคัญใน 3 ปีถัดไปของ Panasonic
Panasonic ประกาศกร้าว พร้อมปฏิวัติธุรกิจอีกครั้ง หลังจากที่เคยติดตัวแดงต่อเนื่อง 2 ปี ในช่วงปีงบประมาณ 2011 - 2012 ซึ่งแม้ว่าปัจจุบันธุรกิจจะกลับมาดำเนินการได้ตามปกติ แต่ด้วยผลกำไรที่ยังไม่เป็นที่น่าพอใจนัก ทางบริษัทจึงวางแผนปรับเปลี่ยนแนวทางการบริหารครั้งใหญ่ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนธุรกิจระยะกลาง ซึ่งจะเริ่มต้นขึ้นในเดือนเมษายนที่กำลังจะมาถึง และเป็นที่น่าจับตามองว่า Mr. Kazuhiro Tsuga ประธานบริษัท Panasonic คนปัจจุบัน จะนำพาบริษัทนี้ก้าวไปในทางใด ในช่วงอีก 3 ปีนับจากนี้
Panasonic ในงาน CES
ประธาน Tsuga กล่าวภายในงาน CES 2019 ว่า “ธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าของเรา จำเป็นมีการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับธุรกิจยานยนต์ และคอมพิวเตอร์” โดยมีคีย์เวิร์ดในช่วง 3 ปีนับจากนี้ คือ “อัพเดทชีวิต” ซึ่งส่งผลให้ทางบริษัทจำเป็นต้องมีการปรับเปลี่ยนแนวคิดในการผลิตสินค้าแทบทั้งหมด
แม้ว่าคีย์เวิร์ดนี้ จะยังไม่ถูกนำมาใช้อย่างทั่วถึงในบริษัท แต่บูธภายในงาน CES ได้แสดงให้เห็นว่า แนวคิดนี้ถูกนำมาใช้แล้วในบางส่วน เช่น แนวคิดรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) ติดตั้งตู้เย็น ซึ่งถูกออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิดการผสานธุรกิจยานยนต์ และธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ ทางบริษัทยังจำเป็นต้องเปลี่ยนแนวคิดในการทำตลาดอีกด้วย ซึ่งภายในปีงบประมาณ 2019 นี้เอง ที่ Panasonic ได้ร่วมมือกับ Kent International เพื่อนำผลิตภัณฑ์จักรยานไฟฟ้า ซึ่งแต่เดิมพัฒนาขึ้นเพื่อลูกค้าญี่ปุ่นเป็นหลัก เข้าทำตลาดในอเมริกาเหนืออย่างเต็มรูปแบบ
การจะให้แนวคิด “อัพเดทชีวิต” ของ Panasonic เป็นจริงขึ้นได้ สิ่งสำคัญคือความเร็วในการพัฒนานวัตกรรมของบริษัท ซึ่ง Mr. Yoshiyuki Miyabe เจ้าหน้าที่บริหารอาวุโสของบริษัท กล่าวย้ำถึงความสำคัญของนวัตกรรมเอาไว้ว่า “หากเราไม่สามารถคิดนวัตกรรมที่นำมาต่อยอดเป็นสินค้าได้ บริษัทเราก็ไม่มีอนาคต”
เพิ่มผลกำไร เสริมความเร็วการบริหาร
ซึ่งด้วยแนวคิดเหล่านี้เอง ที่ทำให้บริษัทตัดสินใจก่อตั้ง “Panasonic β” ขึ้นที่ซิลิคอนวัลเล่ย์ เพื่อเป็นศูนย์กลางในการพัฒนานวัตกรรมใหม่ แทนที่การเน้นพัฒนาผลิตภัณฑ์เดิม ที่สามารถต่อยอดเป็นธุรกิจ และสามารถนำเข้าสู่ตลาดได้ โดยใช้เวลาให้น้อยที่สุด
ซึ่งในงาน CES นี้เอง ที่ Panasonic β ได้เปิดตัว “HomeX” แพล็ตฟอร์ม IoT สำหรับที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ ซึ่ง Mr. Miyabe ได้แสดงความคิดเห็นว่า “Panasonic β ทำงานได้ดีกว่าที่เราคาดไว้แต่แรกมาก”
อย่างไรก็ตาม Panasonic ยังมีผลกำไรน้อยมาก ในขณะที่ Hitachi และ Sony มีกำไรในปีงบประมาณที่แล้วมากกว่า 8% Panasonic กลับมีเพียง 5.1% เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ทางบริษัทจึงเล็งเห็นว่าหากทำเพียงการขายสินค้าอย่างเดียว บริษัทก็ไม่อาจโตไปมากกว่านี้ได้ จึงทำให้ Panasonic β มีความสำคัญมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทางบริษัทยังเล็งเห็นว่า การบริหาร และการตัดสินใจที่รวดเร็ว ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นเช่นกัน
Mr. Miyabe กล่าวเพิ่มเติมว่า “เรามีแนวทางที่จะก้าวไปต่อแล้ว เหลือแค่นำมาใช้เท่านั้น”
บทสัมภาษณ์ Mr. Kazuhiro Tsuga ประธานบริษัท Panasonic
แนวคิด “อัพเดตชีวิต”
“ที่แล้วมา เราเน้นไปที่การพัฒนาผลิตภัณฑ์แบบชิ้นต่อชิ้น แต่ภายใต้แนวคิดนี้ เราต้องมุ่งไปที่การพัฒนาสภาพแวดล้อมของลูกค้า ยกตัวอย่างเช่น การอัพเดตยานยนต์ ซึ่งที่แล้วมาเราไม่สามารถอัพเดตยานยนต์ทั้งคันได้โดยตรง แต่ปัจจุบัน เราจะมุ่งอัพเดตยานยนต์ให้ได้เหมือนกับคอมพิวเตอร์ ซึ่งเราจะนำหลักคิดนี้มาใช้ในการพัฒนาสินค้าของเรา”
ในบริษัทมีผลตอบรับอย่างไร
“ในบริษัทต่างมองว่าเป็นแนวคิดที่เราไม่สามารถทำได้ในทันที แต่หากเราไม่ทำอะไร บริษัทเราก็อาจอยู่ได้อีกไม่ถึง 10 ปี เราจึงเริ่มคิดกันว่า “การอัพเดตคืออะไร ทำได้จริงหรือไม่” ซึ่งได้ข้อสรุปว่า เราไม่อาจอัพเดตสินค้าของเราที่มีอยู่แล้วได้ เราจึงต้องเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเสียใหม่ วิจัยให้ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นมีทิศทางเดียวกัน และเร่งพัฒนาให้ออกสู่ตลาดได้โดยไว ”
คิดว่าแนวคิดนี้จะช่วยให้มีบริษัททำกำไรได้มากขึ้นหรือไม่
“เราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการบริหารเสียใหม่ ซึ่งเราตั้งเป้าว่า Panasonic จะยังต้องอยู่ในตลาดให้ได้ถึงปี 2030 และเร่งเดินหน้าไปในทิศทางนี้ ซึ่งตอนนี้ เรามีแนวทางให้เราอยู่รอดได้แล้ว แต่จะทำกำไรได้มากขึ้นหรือไม่นั้น คือสิ่งที่เรากำลังประเมินกันอยู่”
ผลกำไร 5.1%
“เห็นได้ชัดว่าเรามีผลกำไรน้อยมาก ซึ่งเมื่อรวมกับปัจจัยอื่น เช่น ตลาดหุ้น และมูลค่าหลักทรัพย์แล้ว ทำให้เราริเริ่มแนวคิดอัพเดตชีวิตขึ้นมา ซึ่งนอกจากในส่วนของผลิตภัณฑ์แล้ว เรายังต้องอัพเดตการบริหารของเราเอง และหาแนวทางให้บริษัทเราเติบโตโดยธรรมชาติ (Organic Growth) ได้ตามเป้า”
กำหนดการณ์ขยายตัวในเดือนเมษายน
“ในเดือนเมษายนนี้ เราจะขยายตัวไปยังจีน และสหรัฐฯ ซึ่งในจีนนั้น มีการเติบโตสูงมากจนสาขาที่เรามีไม่เพียงพอต่อการตอบสนองตลาดจีน ซึ่งในจีน เราจะเน้นไปที่การสร้างธุรกิจใหม่ที่ต่างไปจากเดิม ในขณะที่ในสหรัฐฯ เราจะเน้นไปที่การมองหาพาร์ทเนอร์ใหม่”