SUBARU พร้อมขยายขอบเขตการใช้งานระบบไฮบริด “e-BOXER” ซึ่งพัฒนาขึ้นใหม่เพื่อติดตั้งในรถ SUV “Forester” ให้ครอบคลุมไปยังรถโมเดลอื่น ๆ รวมถึงโมเดลหลักของทางค่าย โดยจะพิจารณาการนำมาใช้ให้สอดคล้องกับช่วงเวลาในการออกโมเดลรุ่นปรับปรุงของรถรุ่นนั้น ๆ โดยระบบนี้ได้เลือกใช้เครื่องยนต์แบบ Flat Engine (เครื่องยนต์สูบนอน) ในการสนับสนุนการทำงานของมอเตอร์ไฟฟ้า และมีจุดเด่นในด้านอัตราเร่งที่ทรงพลัง โดย SUBARU คาดการณ์ว่าการขยายขอบเขตการใช้งานนี้ จะเชื่อมโยงไปสู่การเพิ่มยอดขายได้

โดย Forester ทั้งหมด 4 รุ่นที่ออกสู่ตลาดญี่ปุ่นในเดือนกันยายนนี้ จะมีรุ่น Top ที่ติดตั้งระบบ e-BOXER เอาไว้ และมีกำหนดส่งเข้าสู่ตลาดในประเทศจีนและทวีปยุโรปในภายหลัง โดย Forester รุ่นนี้ ได้ใช้ชิ้นส่วนตัวถังร่วมกันกับ “Impreza” โมเดลใหม่ที่ออกสู่ตลาดเมื่อปี 2016 ทำให้สามารถติดตั้งระบบ e-BOXER ได้โดยปรับโครงสร้างเดิมเพียงเล็กน้อย และคาดว่าระบบนี้จะถูกนำไปใช้กับรถโมเดลหลักเช่น “XV” ในอนาคต

ระบบ e-BOXER ของ SUBARU นี้ ได้ออกแบบมาโดยเน้นไปที่ประสิทธิภาพในการขับขี่ ต่างจากระบบไฮบริดโดยทั่วไป ซึ่งเมื่อเทียบกับระบบไฮบริดรุ่นก่อนของ SUBARU แล้ว e-BOXER ได้มีการติดตั้งมอเตอร์ไฟฟ้าขนาดเล็ก และเปลี่ยนจากแบตเตอรี่แบบ NiMH (Nickel–Metal Hydride battery) 101 โวลต์ ไปเป็นแบตเตอรี่แบบลิเธียมไอออน (LIB) 118 โวลต์ ทำให้ได้กำลังขับที่สูงขึ้น และสามารถเร่งความเร็วได้ในทันทีที่เหยียบคันเร่ง

ส่วนในระบบเบรก ได้ถูกออกแบบให้มีการนำพลังงานที่เกิดจากการลดความเร็ว (Deceleration Energy) ไปใช้ในการชาร์จแบตเตอรี่ LIB ทำให้สามารถวิ่งได้เป็นระยะทาง 18.6 กิโลเมตร ต่อน้ำมัน 1 ลิตร โดย 40% ของยอดออเดอร์ Forester ในประเทศญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 18 มิถุนายนนั้น เป็นรุ่นที่ติดตั้ง e-BOXER 

ก่อนหน้านี้ในปี 2013 SUBARU ได้รับการสนับสนุนทางเทคโนโลยีจาก Toyota และวางจำหน่ายรถไฮบริดรุ่นแรก “XV Hybrid” ก่อนจะตามมาด้วย “Impreza Sport Hybrid” ในปี 2015 อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 รุ่นได้สิ้นสุดการวางจำหน่ายลงแล้ว

นอกจากนี้ SUBARU ยังมีกำหนดวางจำหน่าย XV รุ่นปลั๊กอินไฮบริด (PHV) ในประเทศสหรัฐฯ เพื่อตอบรับกับนโยบาย Zero Emission Vehicle (ZEV) Program ของรัฐแคลิฟอร์เนีย และมีแผนนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้าสู่ตลาดสหรัฐฯ ถัดไปในปี 2021