เปิดศึกชิงแอร์ "เวียดนาม" แห่ลงทุนขยายฐาน รับดีมานด์โต
ตลาดระบบทำความเย็นในประเทศเวียดนามกำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด จากอันดับ 8 ของเอเชียในปี 2554 พุ่งทะยานขึ้นมาเป็นอันดับ 3 ได้ในปี 2559 เป็นรองเพียงอินเดียและอินโดนีเซีย เช่นเดียวกับในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถแซงไทยขึ้นเป็นอันดับ 2 ภูมิภาค
โดยสมาคมอุตสาหกรรมแอร์และเครื่องเย็นของญี่ปุ่นประเมินว่า ตั้งแต่ปี 2554-2559 ตลาดแอร์เวียดนามเติบโตถึง 3 เท่าตัว จากยอดขาย 6.6 แสนเครื่องเป็น 1.98 ล้านเครื่อง หรือประมาณ 1.35 พันล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง ด้วยการเติบโตของเศรษฐกิจ ดีมานด์จากหัวเมืองใหญ่อย่างโฮจิมินห์ ฮานอย ฯลฯ ซึ่งจำนวนชนชั้นกลางเพิ่มขึ้น ในขณะที่การครอบครองแอร์ที่ต่ำเพียง 17% ของครัวเรือน ทำให้มีผู้ซื้อแอร์ตัวแรกจำนวนมาก
สำนักข่าวนิกเคอิ รายงานว่า กระแสนี้ได้ดึงดูดให้ผู้ผลิตอุปกรณ์ทำความเย็นจากทั่วโลก อาทิ ไดกิ้น แอลจี พานาโซนิค อีเลคโทรลักซ์ และอีกหลายรายหันมาสนใจตลาดเวียดนามมากขึ้น พร้อมระเบิดศึกชิงเค้กมูลค่ามหาศาลก้อนนี้ ด้วยการปูพรมสินค้าและปักฐานตั้ง-ขยายโรงงานเพื่อรองรับการเติบโตของตลาด
โดย "ไดกิ้น" เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่ทุ่มทุนในตลาดนี้เต็มที่ โดยตั้งเป้าเพิ่มยอดขายจาก 5 หมื่นเป็น 1 แสนล้านเยนภายในปี 2563 ทั้งเปิดโรงงานมูลค่า 1 หมื่นล้านเยน มีกำลังผลิต 1 ล้านยูนิตต่อปีเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาในย่านชานเมืองฮานอย พร้อมนำโนว์ฮาวตลาดที่เติบโตเร็วอย่างอินเดีย และเทคโนโลยีไอโอทีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต รวมถึงเดินหน้าฝึกอบรมบุคลากรอีกกว่า 1 หมื่นอัตรา เพิ่มดีลเลอร์ 3 เท่าเป็น 2,000 ราย และศูนย์บริการ 25 แห่งภายในปี 2563
"มาซาโนริ โทกาวะ" ซีอีโอของไดกิ้น กล่าวว่า การเพิ่มขึ้นของครอบครัวชนชั้นกลางจะกระตุ้นดีมานด์แอร์ในระยะยาว จึงต้องเร่งขยายกำลังผลิตและช่องทางกระจายสินค้าเพื่อชิงความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง
เช่นเดียวกับ "แอลจี" ซึ่งลงทุน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเพื่อขยายกำลังผลิตต่อเนื่องจนถึงปี 2571 และค่ายญี่ปุ่น "พานาโซนิค" ที่ขยายกำลังผลิตของโรงงานในมาเลเซียเพื่อรองรับเวียดนามด้วย
ทั้งนี้ปัจจุบันแบรนด์ท็อป 5 ของตลาดแอร์เวียดนาม ประกอบด้วย ไดกิ้นและพานาโซนิคซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดใกล้เคียงกันที่ 25% ตามด้วยแอลจี, ซัมซุง และอีเลคโทรลักซ์
เนื่องจากผู้บริโภคมีความเชื่อมั่นในแบรนด์ญี่ปุ่นสูง สะท้อนจากระดับราคาแอร์แบรนด์ญี่ปุ่นที่เครื่องละ 12.7 ล้านด่อง สูงกว่าแบรนด์เกาหลี 30% และสูงกว่าแบรนด์จีนถึง 80% แต่ยังสามารถทำยอดขายได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งหมดนี้ฉายให้เห็นเส้นทางการแข่งขันในตลาดแอร์ของเวียดนามที่จะดุเดือดยิ่งขึ้น หลังผู้เล่นแต่ละรายเตรียมถล่มสินค้าเข้าสู่ตลาด ซึ่งต้องรอดูว่าแบรนด์เกาหลีและจีนจะสามารถไล่ตามแบรนด์ญี่ปุ่นได้เช่นเดียวกับในตลาดอื่น ๆ หรือไม่