Mazda ตั้งเป้าขายรถยนต์ให้ได้ปีละ 2 ล้านคัน ภายใน มีนาคม 2024
Mazda เผยแผนระยะกลาง ตั้งเป้ายอดขายรถยนต์ปีละ 2 ล้านคันภายในเดือนมีนาคม 2024 พร้อมอัดฉีดเงินลงทุนมูลค่า 2.5 แสนล้านเยนให้กับโรงงานแห่งใหม่ที่ตั้งร่วมกับ Toyota ในสหรัฐฯ พร้อมยกระดับให้สหรัฐฯ เป็นตลาดสำคัญ ที่จะเข้าลงทุน
กุญแจสำคัญคือโรงงานใหม่
ประธาน Masamichi Kogai กล่าวถึงแนวทางในครั้งนี้ว่า “หากรักษาอัตราการเติบโตยอดขายรถยนต์ที่ปัจจุบันมากขึ้นปีละ 5 หมื่นคันไว้ได้ ก็จะกลายเป็นรากฐานสำคัญที่นำสู่เป้ายอดขาย 2 ล้านคันได้ในที่สุด” โดย Mazda ได้ตั้งเป้ายอดขายทั่วโลกในเดือนมีนาคม 2019 ไว้ที่ 1.66 ล้านคัน และเมื่อโรงงานใหม่ที่สหรัฐฯ แล้วเสร็จ ก็คาดว่าจะยกระดับไปได้ที่ 1.8 ล้านคันในเดือนมีนาคม 2022 และเพิ่มไปจนถึง 2 ล้านคันในอีก 2 ปีต่อจากนั้น
ด้วยเหตุนี้เอง ในช่วงระยะเวลา 4 ปีนี้ Mazda ได้วางแผนลงทุนเพิ่มอีก 2.5 แสนล้านเยน จากเดิมที่มีแผนลงทุนปีละ 1 แสนล้านเยน ซึ่งในจำนวนนี้ จะแบ่งเป็น 1 แสนล้านเยนสำหรับโรงงานใหม่ อีก 3 – 4 หมื่นล้านเยนสำหรับการพัฒนาเครื่อยนต์และชุดเกียร์ และส่วนที่เหลือจะถูกใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า
ซึ่งกุญแจสำคัญในครั้งนี้ คือ โรงงานแห่งใหม่ในสหรัฐฯ ซึ่งมีกำลังผลิตรถยนต์อยู่ที่ 150,000 คันต่อปี และในช่วง 4 ปีนับจากนี้ Mazda จะใช้เงินอีกปีละ 4 หมื่นล้านเยนในการเสริมสร้างความเข้มแข็งของเครือข่ายการค้าในตลาดดังกล่าว เพื่อให้พร้อมกับการขายรถยนต์ปีละ 400,000 คันในภูมิภาค
ผลิตภัณฑ์ 2 ไลน์อัพ
ในด้านผลิตภัณฑ์นั้น Mazda จะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ “กลุ่มรถเล็ก ได้แก่ CX-3 และ Axela” และ “กลุ่มรถใหญ่ ได้แก่ CX-5 และ Atenza” ซึ่งทั้งหมดนี้จะถูกยกขึ้นเป็นรถโมเดลหลัก และวางสัดส่วนยอดขายไว้เป็นรถเล็ก 1.2 ล้านคัน และรถใหญ่ 0.8 ล้านคัน
เดิมทีแล้ว แนวทางการพัฒนายานยนต์ของ Mazda นั้นได้วางให้ Axela เป็นรถโมเดลหลัก อย่างไรก็ตาม ผลดำเนินการที่เกิดขึ้นได้สะท้อนให้เห็นว่าแนวทางดังกล่าวไม่มีประสิทธิภาพมากนัก ทางบริษัทจึงตัดสินใจแบ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์ออกเป็น 2 ส่วน ใช้ไลน์รถเล็กทำตลาดด้วยราคาย่อมเยา ส่วนรถใหญ่จะเน้นไปที่การสร้างมูลค่าเพิ่มด้วยเทคโนโลยีด้านการขับเคลื่อนและเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้า ซึ่งคาดว่า ไลน์รถใหญ่จะมีรุ่นที่ใช้ระบบขับเคลื่อนล้อหลังด้วย