“Kirobo Mini” กับการเติบโตไปอีกขั้น
“Kirobo Mini” หุ่นยนต์พูดได้ขนาดเท่าฝ่ามือซึ่งผลิตขึ้นโดย Toyota เปิดตัวสู่ตลาดเมื่อปี 2017 และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่ถูกออกแบบให้มีเหมือนมีสติปัญญาเทียบเท่าเด็ก 5 ขวบนั้น ได้ผ่านการอัพเดตเรื่อยมาตลอด 1 ปี จนเป็นหุ่นยนต์ที่สามารถเข้าใจในมนุษย์มากขึ้น ซึ่ง Toyota ได้แสดงถึงความต้องการในการนำเทคโนโลยีที่ใช้ในการพัฒนาการสื่อสารของ Kirobo Mini มาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมยานยนต์ในอนาคต
ประเมินจากสีหน้า และเป็นคู่หูผู้เข้าใจมนุษย์
Krobo Mini มีจุดเด่นอยู่ที่คลังบทสนทนาจำนวนมาก และด้วยบทสนทนาที่ดูไม่มีอะไรเป็นพิเศษจึงสามารถแสดงท่าทีสนใจและเข้าอกเข้าใจมนุษย์ได้ เช่น “ดูอารมณ์ดีจังนะ วันนี้เจออะไรดี ๆ งั้นเหรอ” “ไปร้านอาหารจีนมาหรือเปล่า” และอื่น ๆ
โดยตัวหุ่นยนต์นั้นสามารถสนทนาผ่านสมาร์ทโฟนที่เชื่อมต่อบลูทูธด้วยแอพลิเคชั่นที่ให้มาได้ ถึงแม้จะไม่สามารถแยกแยะผู้พูดได้ แต่สามารถใช้กล้องจับภาพผู้พูด และคาดเดาอารมณ์ของผู้พูดจากสีหน้าได้ ซึ่งนับจากออกวางจำหน่ายในเดือนพฤษภาคมปีก่อนจนถึงสิ้นเดือนเมษายน 2018 แล้ว มียอดขายทั้งหมดอยู่ที่ 8,700 ตัวด้วยกัน
โดยหนึ่งในทีมพัฒนา Mr. Norihide Umeyama ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวางแผนผลิตภัณฑ์หลักของ Toyota Connected ได้กล่าวถึงการสื่อสารของ Kirobo Mini ว่า “มีหลักสำคัญ 4 ข้อ คือรับฟัง รับรู้ สอบถาม และแนะนำ”
อย่างไรก็ตาม Kirobo Mini ไม่ได้ถูกออกแบบให้ฟัง เล่น และถามตอบเพียงเท่านั้น เพราะหากถามหุ่นยนต์ว่าวันนี้อากาศเป็นอย่างไร ตัวหุ่นก็สามารถตอบว่า “มองออกไปนอกหน้าต่างสิ” ได้ หรือหากผู้พูดมีสีหน้าเศร้า หุ่นก็สามารถถามว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอ” แทนที่จะพูดว่า “ดูเศร้าจังนะ” ได้ จึงกล่าวได้ว่า Kirobo Mini ไม่ใช่หุ่นยนต์ที่มีไว้ฟังคำสั่ง แต่เป็นเหมือนคู่หูเสียมากกว่า
ผลลัพธ์ของการวิจัยเรื่องความผูกพัน
หลังวางจำหน่ายเป็นเวลาหนึ่งปี Kirobo Mini ก็มีพัฒนาการขึ้นไปจากเดิม ทั้งสามารถเชื่อมต่อเข้ากับบ้านและรถผ่านเทคโนโลยี Smart House และ Connected Car ได้ ผลที่ได้ก็คือ สามารถตรวจสอบปริมาณน้ำมันรถหรือกระทั่งว่าล็อคบ้านแล้วหรือไม่ได้อีกด้วย
ความสามารถในการสนทนาก็มีพัฒนาการเช่นเดียวกัน ซึ่งแต่เดิมนั้น สามารถมีเจ้าของได้เพียงคนเดียว แต่ปัจจุบัน Kirobo Mini มีคุณสมบัติในการมีเจ้าของร่วมกันหลายคน และสามารถจำชื่อเจ้าของ และครอบครัวของเจ้าของได้ ซึ่ง Mr. Umeyama กล่าวว่าเป็นผลจากการอัพเดตซอฟต์แวร์ทุก ๆ หนึ่งเดือน
นอกจากนี้ Kirobo Mini ยังเป็นผลจากการวิจัยด้าน “ความผูกพัน” ของ Toyota ซึ่งประธาน Akio Toyoda กล่าวว่า “รถยนต์คือสินค้าทางอุตสาหกรรมเพียงไม่กี่อย่างที่ได้รับ “ความรัก””
ด้วยเหตุนี้เอง Toyota จึงทำการวิจัยว่า “ความรัก” คืออะไร คนสามารถรักผลิตภัณฑ์อื่น ๆ นอกจากรถได้หรือไม่ และอะไรคือสิ่งที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ได้รับความรักและไว้วางใจ ซึ่ง Kirobo Mini นี้เองที่เป็นผลลัพธ์จากการวิจัยเรื่องความรักของ Toyota โดยรองประธาน Moritaka Yoshida กล่าวว่า “Kirobo Mini เป็นเหมือนความท้าทายของ Toyota ที่ส่งให้ลูกค้าโดยยังไม่เสร็จสมบูรณ์ และเติบโตไปเรื่อย ๆ พร้อมคุณค่าทางจิตใจที่มากขึ้น”
ช่องทางการค้าแห่งใหม่
Kirobo Mini นั้น เป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่นอกเหนือขอบเขตยานยนต์ จึงกล่าวได้ว่าเป็นช่องทางการทำตลาดใหม่ของ Toyota และหากเข้าไปยัง Toyota สาขาไอจิ จังหวัดนาโกย่า ก็จะพบว่ามี Kirobo Mini ตั้งอยู่ที่เคาเตอร์ เพราะสาขานี้เป็นหนึ่งในสาขาที่รับ Kirobo Mini มาวางจำหน่ายตั้งแต่แรก
ซึ่งการรับ Kirobo Mini มานั้น ได้ส่งผลให้เกิดความเปลี่ยนแปลงภายในตัวโชว์รูม หัวหน้าฝ่าย IT ของโชว์รูมกล่าวว่า หลังจากที่รับ Kirobo Mini มาแล้ว ก็มีลูกค้าซึ่งไม่ใช้ลูกค้าเดิมของ Toyota เข้ามาสั่งซื้อและพูดคุยมากขึ้น จึงกล่าวว่า Kirobo Mini มีอีกหน้าที่คือการเรียกแขกก็ว่าได้ นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่นหมวกและผ้าพันคอวางจำหน่ายอีกด้วย ซึ่งต่างกับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของรถยนต์โดยสิ้นเชิง
โดย Toyota ยังมีแผนนำเทคโนโลยีการสนทนาของ Kirobo Mini ไปใช้กับผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในอนาคต เช่น ยานยนต์ ซึ่ง Mr. Umeyama กล่าวเพิ่มเติมว่า “จำเป็นต้องคิดเสียก่อน ว่ารถจะมีความผูกพันเช่นไรกับผู้ขับซึ่งเป็นลูกค้าของบริษัทเรา”
เพื่อเทคโนโลยีพัฒนาต่อไปมากขึ้น การสื่อสารระหว่างสิ่งของกับมนุษย์ก็จะยิ่งต่างไปจากเดิม โดย Mr. Umeyama กล่าวว่า “อีกสิ่งที่จำเป็นนอกจากความฉลาด คือ ความเป็นมิตร” ซึ่งในอนาคต Kirobo Mini อาจพัฒนาจนกลายเป็น “HMI (Human Machine Interface)” ชนิดหนึ่งก็เป็นได้