ฮอนด้ากอดแชมป์รถยนต์นั่ง ลั่นปี "61” โต 5% โปรเจ็กต์ไฮบริดพร้อมกระหึ่ม
"ฮอนด้า" ลั่นปีหน้าได้ยลโฉมไฮบริดรุ่นใหม่ พร้อมป้อนสินค้าดีส่งต่อถึงมือลูกค้า ปลื้มกอดแชมป์รถยนต์ต่อเป็นปีที่ 4 มั่นใจตลาดปีนี้โตเพิ่ม 4-5%
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ ฮอนด้า ออโตโมบิล ประเทศไทย เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า ฮอนด้าได้ยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ สำหรับโครงการผลิตรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทยเรียบร้อย ส่วนรายละเอียดตอนนี้ยังไม่สามารถเปิดเผย เนื่องจากยังมีข้อหารือร่วมกันกับทางภาครัฐ ทั้งกฎเกณฑ์และข้อกำหนด โดยรถยนต์ในโครงการนี้น่าจะเริ่มผลิตได้ในปี พ.ศ. 2562 "โครงการนี้ถือว่าดีมากช่วยสนับสนุนและส่งเสริมให้กลุ่มรถไฮบริดแพร่หลายและเป็นการปูทางก่อนเปลี่ยนผ่านไปสู่รถยนต์ไฟฟ้าหรืออีวี" นายพิทักษ์กล่าวอีกว่า ประเด็นที่ต้องเป็นห่วงคือนโยบายส่งเสริมยานยนต์แห่งอนาคตที่ช่วยลดมลพิษ ควรจะต้องมีความชัดเจน ทั้งหลักเกณฑ์และข้อกำหนด โดยเฉพาะหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง ซึ่งมีด้วยกันหลายหน่วย อย่าลืมว่าเลย์เอาต์รถยนต์ไฮบริด หรือรถยนต์ไฟฟ้าของแต่ละค่ายไม่เหมือนกัน เพราะฉะนั้นหากต้องการให้เกิดความสมดุล หรือไม่ได้เปรียบเสียเปรียบระหว่างผู้เข้าร่วมลงทุนด้วยกัน รัฐบาลต้องชัดเจนว่า คนมาก่อนจะไม่เสียเปรียบคนมาทีหลัง รวมถึงสิทธิประโยชน์ทางภาษีลดลงไป 50% ของกลุ่มรถไฮบริดหรือ ปลั๊ก-อิน ไฮบริดจะไม่ไปขัดแย้งกับโครงสร้างภาษีสรรพสามิตเดิมที่พิจารณาจากค่าการปล่อยไอเสีย และการเปิดเสรีแบตเตอรี่ที่ขัดขวางการต่อยอดหรือพัฒนาไปสู่ยานยนต์ไฟฟ้า
"อีกเรื่องที่รัฐบาลต้องรีบแก้ คือมีบางประเทศสามารถนำรถยนต์ไฟฟ้าเข้ามาขายในประเทศไทยด้วยอัตราภาษีนำเข้า 0% ตรงนี้ส่งผลกระทบกับอุตสาหกรรมยานยนต์ในระยะยาวแน่นอน และอาจกลายเป็นอุปสรรคต่อความตั้งใจของรัฐบาลที่อยากสนับสนุนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตรถยนต์พลังงานอนาคตที่มีความเข้มแข็ง และจะเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ประเทศไทยซึ่งได้รับการถ่ายทอดความรู้ เทคโนโลยีมาตลอดหลายสิบปีต้องมาสะดุดเพราะไม่ได้รับการปกป้องอย่างครบถ้วน"
ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการรถยนต์ฮอนด้า กล่าวอีกว่า ปี 2560 ที่ผ่านมา ฮอนด้าประสบความสำเร็จดีมาก ขายรถได้ 127,768 คัน สูงกว่าเป้าหมายเดิมที่คาดไว้ ส่วนปีนี้คาดว่าจะมียอดขายเท่ากับปี 2560 ที่ผ่านมา คือโตขึ้น 5% จากเป้าหมายเดิม 120,000 คัน และจะต้องมียอดขายรถยนต์นั่งเป็นอันดับหนึ่งด้วย
"ยอดขายในปีที่ผ่านมาเป็นที่ชัดเจนว่า 5 ปีเราก้าวขึ้นอันดับหนึ่งถึง 4 ครั้งแล้วในปี 2560 ฮอนด้าครองแชมป์รถยนต์นั่งอีกครั้ง ซึ่งต้องยินดีกับทีมงานฮอนด้าทุกคน ไม่ว่าจะพนักงานในองค์กรทุกส่วน ตัวแทนจำหน่าย ที่ร่วมกันสานต่อเจตนารมณ์ ซึ่งเป็นนโยบายหลักในการดำเนินธุรกิจที่ว่า ฮอนด้าต้องการเป็นองค์กรที่สังคมต้องการให้ดำรงอยู่ด้วยท่าทีที่นอบน้อม"
ปัจจัยสำคัญอีกประการคือ ฮอนด้ามองลูกค้าเป็นหลักว่าต้องการอะไรก็จะผลิตหรือสร้างสรรค์สิ่งนั้นออกมา ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์หลายหลายรุ่น ครอบคลุมความต้องการที่มีมากขึ้นเรื่อย ๆ การบริการก่อน หลังการขาย ที่สร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้าในทุกขั้นตอน รวมถึงกิจกรรมต่าง ๆ ที่มีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่การขาย การตลาด แต่ที่ให้ความสำคัญอย่างมาก คือกิจกรรมเพื่อสังคม ที่มีโครงการต่าง ๆ มากมาย ซึ่งเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ที่ฮอนด้าได้ทำมาโดยตลอด สามารถสื่อ และลูกค้ารับรู้มาโดยตลอด
"เราต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า ทำธุรกิจอย่างภาคภูมิใจ เป็นสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยตัวเอง ขณะที่มีปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาวะตลาด การแข่งขัน ส่วนผลที่ตามมาจะเป็นอันดับ 1 หรืออันดับที่เท่าไหร่ ไม่มีใครสามารถบอกได้ แต่จากยอดขายในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ก็สามารถสะท้อนให้เห็นว่าสิ่งที่ทำมานั้นถูกต้อง นับเป็นความภูมิใจของทีมงานฮอนด้าทั้งหมด"
ส่วนภาพรวมตลาดรถยนต์ปีนี้เชื่อว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลให้ตลาดฟื้นตัวแล้วค่อนข้างชัดเจน อีกทั้งในปีนี้มีปัจจัยบวกเข้ามาค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจที่ดีขึ้น จีดีพีที่ขยายตัว การส่งออกที่เพิ่มขึ้น รวมถึงตลาดเงินตลาดทุนที่ร้อนแรงต่อเนื่อง ทำให้กำลังซื้อของลูกค้าดีขึ้นส่งผลต่อเนื่องถึงตลาดรถยนต์ด้วย
รวมถึงกลุ่มคนที่เข้าโครงการรถคันแรก ครบอายุ 5 ปี สามารถขายรถได้แล้ว ซึ่งในปีนี้อยู่ในเงื่อนไขเป็นจำนวนมาก มองว่าจะมีกลุ่มหนึ่งที่ต้องการเปลี่ยนรถคันใหม่ ทยอยเข้ามาซื้อเรื่อย ๆ
ขณะนี้ปัจจัยลบที่ชัดเจน วันนี้ยังมองไม่เห็นชัดเจน มองว่ายอดขายตลาดรวมรถยนต์ในปีนี้ จะเติบโตขึ้นได้อีก 4-5% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว