Mr. Akira Onishi เผย Toyota มองการณ์ไกลในแผนการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า

อัปเดตล่าสุด 18 ม.ค. 2561
  • Share :

Mr. Akira Onishi ประธานบริษัท Toyota Industries ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับยานยนต์ในอนาคต พร้อมทุ่มเทให้กับการพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและการเปลี่ยนเครื่องยนต์ดีเซลไปเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้า

ปัจจุบัน Toyota เป็นส่วนหนึ่งขององค์กรทางธุรกิจภายในบริษัท “แผนกวางแผน EV” เพื่อออกแบบและพัฒนา EV สินะครับ

“EV นั้นไม่ใช่สิ่งที่จะมาแทนยานยนต์เดิมได้อย่างรวดเร็วนัก แต่ต้องมาพร้อมกับโครงสร้างพื้นฐานที่รองรับทรัพยากรในการผลิตที่เพียบพร้อม และจำเป็นต้องแก้ปัญหาต้นทุนให้ได้เสียก่อน จึงจะกลายเป็นที่ยอมรับของตลาดได้ ซึ่งบริษัทเราก็อยู่ระหว่างการเดินไปให้ถึงในจุดดังกล่าว”

ดูจะทุ่มเทกับการพัฒนายานยนต์ไฟฟ้าอย่างจริงจังเลยทีเดียว

“Electric Motor Driven Compressor ที่เรามีแผนจะนำออกสู่ตลาดในปี 2025 นั้นถูกออกแบบให้มีขนาดเล็กลงและรองรับการติดตั้งใน EV  ซึ่งบริษัทเราอยู่ระหว่างการพัฒนาคอมเพรสเซอร์ อินเวอร์เตอร์ คอนเวอเตอร์ หรือกระทั่งแบตเตอรี่สำหรับรถยก ให้มีขนาดเล็กลงและมีน้ำหนักเบาตามความต้องการของ EV”

จุดเด่นของแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่ทางบริษัทเป็นผู้ผลิตคืออะไร

“ก็มีจุดเด่นในด้านความทนทานสูง โดยแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับรถยนต์ทั่วไปและรถยกนั้นมีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ได้พัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนมาระยะหนึ่ง ก็พบว่ามีองค์ความรู้ที่สามารถนำมาใช้กับรถยนต์ได้ ซึ่งสิ่งนี้เองที่ทำให้เราตัดสินใจเริ่มพัฒนาแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนสำหรับยานยนต์”

Toyota มองเรื่องการเปลี่ยนผ่านของยานยนต์ดีเซลไว้อย่างไรบ้าง

“เรากำลังอยู่ระหว่างการรวบรวมฝ่ายพัฒนาและองค์ความรู้ใน Toyota Industries เข้าด้วยกัน อย่างไรก็ตามเครื่องยนต์ดีเซลก็ไม่สามารถถูกแทนที่ได้ในทันที เพราะความต้องการรถแบบ SUV (Sport Utility Vehicle) ยังมีอยู่มาก รวมถึงรถบรรทุกและ SUV ขนาดใหญ่ที่เป็นเครื่องยนต์ดีเซล”

แล้วประเด็นเรื่องการซื้อธุรกิจด้านโลจิสติคเครือสหรัฐฯ เข้ามาถึง 2 รายในปี 2017 ล่ะ

“ปัจจุบันเราอยู่ระหว่างการสร้าง Working Group ร่วมกับ Bastian Solutions จากสหรัฐฯ และ Vanderlande Industries Holding B.V. จากเนเธอร์แลนด์ นำข้อดีของเราคือรถยก มารวมเข้ากับผลิตภัณฑ์ทางด้านสนามบินและตู้สินค้าของ Vanderlande ซึ่งการเข้าซื้อในครั้งนี้ จะช่วยขยายขอบเขตด้านเทคโนโลยีที่ต่างกันออกไป สร้างความน่าเชื่อถือ รวมไปถึงการมีลูกค้าร่วมกันได้”