“หุ่นยนต์” ช่วยสร้างงาน พลิกวิกฤตสู่โอกาส
ใคร ๆ ต่างก็หวาดกลัว เมื่อหลายฝ่ายออกมาเตือนว่าภายในปี 2030 โลกจะถูกยึดครองด้วยกองทัพหุ่นยนต์ แต่จากรายงานล่าสุดของสำนักวิจัย “แมคคินซีย์ โกลเบิล” ระบุว่า หุ่นยนต์จะไม่ฆ่างานคนแต่จะช่วยเหลือคนในการทำงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และอาจจะถึงขั้นสร้างงานเพิ่มด้วย ถ้ารัฐบาลหามาตรการทางกฎหมายมารองรับได้ทัน และเอกชนสามารถรับมือนำเครื่องมืออัตโนมัติมาใช้ได้อย่างเหมาะสม
ในรายงานระบุว่า จะมีคนกว่า 375 ล้านคนทั่วโลก สูญเสียตำแหน่งงานให้กับหุ่นยนต์อัตโนมัติ ระหว่างปี 2016-2030 นั่นเท่ากับ 14% ของตำแหน่งงานทั่วโลก แต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงควรเป็นเชื้อเพลิงเร่งให้รัฐบาลทั่วโลก หันมาวางแผนและลงทุนทรัพยากรต่าง ๆ ที่มีอยู่อย่างเหมาะสม
“ซูซาน ลันด์” หัวหน้าสถาบันวิจัยแมคคินซีย์ กล่าวกับสำนักข่าว เดอะ วอลล์สตรีต เจอร์นัลว่า คำถามสำคัญไม่ใช่ว่าจะมีงานเพียงพอหรือไม่สำหรับประชากรมนุษย์ในอนาคต แต่ควรเป็นการตั้งคำถามว่า เราจะจัดการกับยุคเปลี่ยนผ่านอย่างไร เมื่อมนุษย์เริ่มเสียตำแหน่งงานให้กับหุ่นยนต์
เธอแนะนำว่า ผู้กำกับนโยบายควรลงทุนด้านการศึกษาและการเทรนนิ่ง และมอบทุนด้านอาชีพในส่วนงานของโครงสร้างพื้นฐานและพลังงาน ซึ่งเป็นอุตสาหกรรมสำคัญโลกอนาคต ขณะที่ผู้นำทางธุรกิจควรนำเครื่องมืออัตโนมัติเข้ามาปรับใช้โดยเร็ว เพื่อให้มนุษย์สามารถทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติได้ และควรมีการปรับอัตราค่าจ้างสำหรับแรงงานด้วย
ขณะเดียวกันแต่ละประเทศต้องเลิกสนใจตัวเลขการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก แต่ควรหันมาสนใจในการลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในปัจจุบัน เช่น ลงทุนโปรแกรมเทรนนิ่งเพื่อช่วยเหลือให้คนกลุ่มนี้สามารถทำงานที่เปลี่ยนไปตามการพัฒนาของเทคโนโลยีได้
นอกจากนี้ รัฐบาลแต่ละประเทศจะต้องปรับตัวด้านกฎระเบียบให้เกิดความเป็นธรรม ไม่ขัดขวางนวัตกรรม และควรระบุรายชื่องานที่มีแนวโน้มจะถูกกลืนกินไปกับเทคโนโลยี เพื่อนำคนในกลุ่มอาชีพดังกล่าวเข้าสู่ระบบเทรนนิ่งได้ทันเวลา มนุษย์ควรมีทักษะที่จำเป็นในการทำงานร่วมกับหุ่นยนต์ มากกว่าที่จะแข่งขันตำแหน่งงานกับหุ่นยนต์
“หากรัฐบาลและภาคเอกชนดำเนินการอย่างชาญฉลาด การเข้ามาของระบบอัตโนมัติอาจจะกระทบเพียงแค่ 3% ของแรงงานทั่วโลกเท่านั้น กรณีนี้ถือเป็นคาดการณ์ที่ดีที่สุด” ลันด์กล่าว
รายงานฉบับดังกล่าวยังระบุต่อด้วยว่า 15% ของงานในอนาคตที่จะถูกแทนที่ด้วยระบบอัตโนมัติ เป็นระบบที่ปัจจุบันมีอยู่แล้ว แต่การใช้งานอาจจะยังไม่แพร่หลาย อย่างไรก็ตาม รายงานเล่มก่อนหน้านี้ของแมคคินซีย์ ซึ่งทำการศึกษาเรื่องเดียวกันเมื่อเดือนมกราคมระบุว่า ภายในปี 2030 อาชีพกว่า 60% จะ “ข้องเกี่ยว” กับระบบอัตโนมัติ ขณะที่มีอาชีพเพียง 3% เท่านั้นที่จะถูกปรับเป็นระบบอัตโนมัติ “ทั้งหมด”
“ในช่วงแรกของการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเทคโนโลยี หากแรงงานปรับใช้เครื่องมือเทคโนโลยี เรียนรู้ระบบเอไอและหุ่นยนต์ได้ดี สิ่งนี้จะช่วยสร้างงานมากกว่าทำลายตำแหน่งงาน” ตอนหนึ่งของรายงานจากสถาบันวิจัยแมคคินซีย์ระบุ
วิจัยยังระบุด้วยว่า นอกจากหุ่นยนต์จะช่วยสร้างงานแล้ว ยังสร้างกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ลดภาระค่าใช้จ่ายของบริษัทด้านต่าง ๆ ซึ่งจะกลายเป็นการเพิ่มรายได้ให้กับพนักงานบริษัท ทำให้กระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยในประเทศได้อีกด้วย