ญี่ปุ่น–สหรัฐฯ จับมือพัฒนา “FUGAKU Next” ซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ เสริมแกร่ง AI และอธิปไตยทางเทคโนโลยี

ญี่ปุ่น–สหรัฐฯ จับมือพัฒนา ‘FUGAKU Next’ เสริมอำนาจ AI และความมั่นคงด้านเทคโนโลยี

อัปเดตล่าสุด 12 พ.ย. 2568
  • Share :

ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกาเริ่มความร่วมมือครั้งสำคัญในการพัฒนาซูเปอร์คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ “FUGAKU Next” ซึ่งจะเป็นรุ่นสืบต่อจาก “FUGAKU” ของสถาบันวิจัย RIKEN โดยมีสามฝ่ายหลักร่วมพัฒนา ได้แก่ RIKEN, FUJITSU และ NVIDIA จากสหรัฐฯ

ความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้าง “อธิปไตยเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Autonomy) และ “ความจำเป็นเชิงยุทธศาสตร์” (Strategic Indispensability) ของญี่ปุ่น ในด้านอิเล็กทรอนิกส์และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ผ่านการผสานเทคโนโลยี CPU จาก FUJITSU และ GPU จาก NVIDIA ซึ่งมีความสามารถเสริมกันอย่างลงตัวในสนามแข่งขันซูเปอร์คอมพิวเตอร์ระดับโลก

Advertisement

ญี่ปุ่นมุ่งเสริมบทบาทผู้นำด้านชิปสมรรถนะสูง

Satoshi Matsuoka ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยคอมพิวเตอร์เชิงวิทยาศาสตร์ RIKEN (R-CCS) ระบุว่า “ทั่วโลกมีเพียง 4 บริษัทเท่านั้นที่สามารถออกแบบ CPU สำหรับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ได้ ได้แก่ Intel, AMD, IBM และ Fujitsu”

ปัจจุบัน ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ชั้นนำของโลกส่วนใหญ่ใช้ระบบผสมผสานระหว่าง CPU และ GPU เช่น

  • “El Capitan” ของสหรัฐฯ ที่ใช้ AMD ทั้ง CPU และ GPU
  • “Frontier” และ “Aurora” ซึ่งพัฒนาโดยห้องปฏิบัติการแห่งชาติของสหรัฐฯ
  • รวมถึงเครื่องในเยอรมนีที่ใช้ GPU จาก NVIDIA

ในกลุ่มนี้ FUJITSU เป็นเพียงบริษัทเดียวที่ยังสามารถติดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ Top 10 ด้วย CPU ที่พัฒนาเองทั้งหมด

FUGAKU is the only top-10 supercomputer in the world that operates without a GPU.

จับมือพัฒนา “MONAKA X” หน่วยประมวลผลเพื่อยุค AI

“FUGAKU Next” จะใช้หน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ชื่อ MONAKA X ซึ่งเป็นรุ่นถัดจาก “MONAKA” ที่ FUJITSU พัฒนาเอง โดยจะมีระบบเชื่อมต่อระหว่าง CPU และ GPU ที่มีความถี่สม่ำเสมอและแบนด์วิธกว้าง เพื่อให้สองชิปทำงานประสานกันได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

นาย Vivek Mahajan รองประธาน FUJITSU กล่าวว่า “ความร่วมมือครั้งนี้ทำให้ FUJITSU ได้ใช้ทรัพย์สินทางเทคโนโลยีอันมหาศาลของ NVIDIA เพื่อพัฒนา CPU สำหรับ AI ได้อย่างก้าวกระโดด”

ผลจากการศึกษาความเป็นไปได้กว่า 3 ปี

การร่วมมือระหว่างญี่ปุ่นและสหรัฐฯ ครั้งนี้มีจุดเริ่มจากการศึกษาความเป็นไปได้ (Feasibility Study) ที่ดำเนินมากว่า 3 ปี โดยในช่วงแรก FUJITSU ยังไม่แน่ใจว่าการทำงานร่วมกับต่างชาติจะเกิดขึ้นจริง แต่เมื่อเห็นท่าทีของ NVIDIA ที่เปิดรับความร่วมมือ RIKEN และ FUJITSU จึงตัดสินใจเดินหน้าเต็มที่

ทั้งสามฝ่ายกำลังแบ่งปันเทคโนโลยีและพิจารณาอย่างละเอียดว่าควรนำเทคโนโลยีใดมาพัฒนาและต่อยอด เพื่อให้ “FUGAKU Next” กลายเป็นระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงที่ขับเคลื่อนด้วยความร่วมมือระดับโลก

สู่ยุค Zettascale Computing และความเป็นอิสระทาง AI

“FUGAKU Next” ตั้งเป้าเพิ่มสมรรถนะสูงกว่ารุ่นเดิมถึง 100 เท่า โดยฮาร์ดแวร์จะเพิ่มความเร็วขึ้น 6 เท่า และซอฟต์แวร์อีก 20 เท่า เป้าหมายคือการเข้าสู่ระดับ Zettascale (หนึ่งพันล้านล้านล้านครั้งต่อวินาที)

Ueda Naonori รองผู้อำนวยการศูนย์ RIKEN AIP กล่าวว่า “การร่วมมือกับ NVIDIA คือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดสำหรับนักวิจัย AI” เนื่องจากระบบใหม่จะสามารถใช้สภาพแวดล้อม CUDA ของ NVIDIA ซึ่งนักพัฒนา AI ทั่วโลกคุ้นเคยอยู่แล้ว

สร้างอธิปไตยด้าน AI และข้อมูลของชาติ

RIKEN มองว่าการพัฒนา AI ภายในประเทศเป็นหัวใจสำคัญของ “อธิปไตยทางเทคโนโลยี” เพราะหากพึ่งพาโมเดล AI จากต่างประเทศมากเกินไป อาจทำให้ค่านิยมและแนวคิดของสังคมค่อย ๆ ถูกกำหนดจากภายนอก

Matsuoka กล่าวว่า “การที่เราสามารถพัฒนา AI ด้วยตนเองได้หรือไม่ คือสิ่งที่เชื่อมโยงโดยตรงกับความเป็นอิสระด้านการวิจัยและพัฒนา”

RIKEN จึงวางแผนจัดงาน “AI Co-Creation” รวมทีมนักวิทยาศาสตร์กว่า 1,000 คน เพื่อทดสอบการนำโมเดลพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในแต่ละสาขา โดยมุ่งสร้างวงจรเชิงบวกของ “ข้อมูล–AI–การวิจัย” ที่จะยกระดับสมรรถนะของประเทศทั้งระบบ

บทสรุป

“FUGAKU Next” ไม่เพียงเป็นอีกก้าวสำคัญของญี่ปุ่นในโลกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ แต่ยังสะท้อนถึงพลังของความร่วมมือระดับนานาชาติ เพื่อสร้าง “เทคโนโลยีแห่งความจำเป็น” ที่โลกยุคใหม่ไม่อาจขาดได้

หากความร่วมมือนี้ประสบความสำเร็จ RIKEN และ FUJITSU จะกลายเป็นพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ที่ NVIDIA ต้องการ และ “FUGAKU Next” อาจก้าวขึ้นเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่ยกระดับจาก “ของญี่ปุ่น” สู่ “ของโลก” อย่างแท้จริง

 

ที่มา: Nikkan Kogyo Shimbun

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH