096-Toyota-BOI-รถยนต์ไฟฟ้า

“โตโยต้า” ลั่น 3 ปีคลอดรถอีวี BOI ไฟเขียวเทเพิ่ม 2 พันล้าน ต่อยอดไฮบริด

อัปเดตล่าสุด 29 ม.ค. 2563
  • Share :

โตโยต้าต่อยอดลงทุนอีวี หลังบีโอไอไฟเขียว ลั่นปี 2566 พร้อมขึ้นไลน์ผลิตคาดเทงบฯลงทุนอีก 2 พันล้าน แนะรัฐ-เอกชนรวมพลังผลักดันฟันธงยอดขายรถยนต์ปีนี้เหลือแค่ 9.4 แสนคัน

นายสุรภูมิ อุดมวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 7 ม.ค.ที่ผ่านมาบริษัทได้รับอนุมัติส่งเสริมการลงทุน โครงการผลิตปลั๊ก-อิน ไฮบริดและรถยนต์ไฟฟ้า หรืออีวี หลังบอร์ดบีโอไอประชุมครั้งที่ 1/2563 ซึ่งตามแผนของโตโยต้าจะใช้ระยะเวลาอย่างน้อย 3 ปี ตามกรอบเงื่อนไขบีโอไอ หรือราวปลายปี พ.ศ. 2566 จะได้เห็นรถยนต์ทั้ง 2 ประเภทออกสู่ตลาดประเทศไทย

ส่วนงบประมาณที่ใช้โครงการนี้จะน้อยกว่าโครงการผลิตรถยนต์ไฮบริดที่ใช้ถึง 2 หมื่นล้าน เนื่องจากเป็นการต่อยอด คาดว่าจะใช้เพิ่มอีกราว 2,000 ล้านบาท หรือ 10% ของโครงการเก่า

“2 ปีที่ผ่านมารัฐบาลผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า และปลั๊ก-อิน ไฮบริด ซึ่งผู้ประกอบการเกือบทุกค่ายมีความพยายามแนะนำรถกลุ่มนี้ออกสู่ตลาด ซึ่งทำได้ 25,000-30,000 คัน แต่ในจำนวนนี้มีสัดส่วนของรถอีวีน้อยมาก ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะความพร้อมในหลาย ๆ ด้านของประเทศไทย รวมทั้งการตอบรับของลูกค้าเองด้วย ดังนั้น สิ่งสำคัญคือทุกฝ่ายจะต้องร่วมมือกันในการผลักดัน และทำให้โครงการดังกล่าวได้รับการยอมรับ และสานต่อนโยบายให้เป็นรูปธรรมในอนาคตด้วย”

ผู้สื่อข่าวถามถึงความคืบหน้าของการพัฒนารถยนต์โตโยต้า ยาริส และเอทีฟ ที่ปัจจุบันได้รับสิทธิ์ส่งเสริมการลงทุน ตามเงื่อนไขของโครงการรถยนต์อีโคคาร์ เฟส 2 ไปแล้วนั้น ได้คำตอบว่า

เป็นการลงทุนต่อเนื่องพัฒนาสเป็กเครื่องยนต์ให้ได้ตามค่ากำหนดเรื่องมาตรฐานไอเสียและความปลอดภัยไปเรียบร้อยแล้ว แต่ในส่วนของ “โมเดลเชนจ์” ของรถทั้ง 2 รุ่นนั้น บริษัทยังไม่ได้เริ่มคาดว่าต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

ด้านนายมิจิโนบุ ซึงาตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่ เปิดเผยถึงภาพรวมของตลาดรถยนต์ในปี 2563 ว่า ตลาดรถยนต์ยังต้องเผชิญกับปัจจัยลบอย่างต่อเนื่อง น่าจะมีความต้องการแค่ 940,000 คัน ลดลง 6.7% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 358,500 คัน ลดลง 10% รถเพื่อการพาณิชย์ 581,000 คัน ลดลง 4.5% ขณะที่โตโยต้าได้ปรับเป้ายอดขายลดเหลือ 310,000 คัน ลดลง 6.7% แบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 103,000 คัน ลดลง 12.5% รถเพื่อการพาณิชย์ 207,000 คัน จากปีก่อนที่ยอดขายรถยนต์โดยรวมอยู่ที่ 1,007,555 คัน

“ตลาดส่งออกปีนี้เราปรับลดลงจากปีที่แล้วเพียงเล็กน้อยเพราะเชื่อว่าตลาดในส่วนของตะวันออกกลาง น่าจะเป็นตลาดที่มีความหวังดีขึ้น ส่วนโอเชียเนีย อาจจะลำบากเล็กน้อย ซึ่งเป็นตลาดหลักน่าจะมีการเติบโตที่ดีขึ้น ส่วนค่าเงินบาทที่มีมาก่อนหน้านี้และยังเผชิญอยู่ เราต้องกลับมาบริหารจัดการต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตเพื่อรักษาบาลานซ์ของผลกระทบตรงนี้ให้ได้” นายซึงาตะกล่าว