สำนักข่าวรอย์เตอร์ รายงานวันนี้ (13. พ.ย.62) อ้างถึงแหล่งข่าวที่เป็นเจ้าหน้าที่สหภาพยุโรป (อียู) ระบุว่า ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา “โดนัลด์ ทรัมป์” อาจตัดสินใจเลื่อนการเก็บภาษีนำเข้าเพิ่ม 25% สำหรับสินค้ายานยนต์และชิ้นส่วนจากอียู ไปอีก 6 เดือนข้างหน้า หลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยประกาศเลื่อนการเพิ่มภาษีมาแล้วเมื่อเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ รายงานระบุว่า เป็นไปได้ที่รัฐบาลทรัมป์ จะประกาศการตัดสินใจดังกล่าวอย่างเป็นทางการในวันพรุ่งนี้ (14 พ.ย.62) ซึ่งสหรัฐมักอ้างว่าเป็นภัยกระทบต่อ “ความมั่นคงของชาติ” โดยเฉพาะรถยนต์ของเยอรมนี ซึ่งสหรัฐมองว่าทำลายอุตสาหกรรมยานยนต์ของสหรัฐ

เจ้าหน้าที่ของอียู เปิดเผยอีกว่า แม้ว่าวันนี้สหรัฐส่งสัญญาณว่าอาจพิจารณาเลื่อนการขึ้นภาษีรถยนต์ในรอบนี้ แต่พฤติกรรมของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นไม่สามารถคาดการณ์ได้ นอกจากนี้ นายทรัมป์อาจจะหยิบยกประเด็นการขึ้นภาษีสินค้ารถยนต์มาเป็นข้อต่อรองที่จะเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับอียูในปีหน้าได้

รายงานระบุว่า จุดประสงค์ของสหรัฐมีเพียงไม่กี่อย่าง ส่วนหนึ่งก็เพราะว่าสหรัฐต้องการถกประเด็นสินค้าเกษตรของสหรัฐบนโต๊ะเจรจาด้วย โดยต้องการให้อียูเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรสหรัฐเข้าถึงมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม อียู ยืนกรานว่าจะมีการเจรจาเพิ่มเติม นอกเหนือจากเรื่องของสินค้าภาคอุตสาหกรรมเท่านั้น

นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่อียูรายนี้ กล่าวอีกว่า การเจรจากันระหว่างผู้แทนการค้าสหรัฐ “โรเบิรต์ ไลทไฮเซอร์” และ เซซีเลีย มัลม์สตรอม ประธานคณะกรรมาธิการการค้าสหภาพยุโรป เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาดำเนินไปในทางที่ดี และอาจจะบรรลุข้อตกลงกันได้เร็ว ๆ นี้ ซึ่งก็เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับ “วิลเบอรร์ รอสส์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์สหรัฐ ที่กล่าวเมื่อวันที่ 3 พ.ย.62 ว่าทางการสหรัฐอาจจะยกเลิกการเพิ่มภาษีสินค้ายานยนต์จากยุโรป

ก่อนหน้านี้ “โดนัลด์ ทรัมป์” มักจะกล่าวโทษสินค้ายานยนต์จากอียูและญี่ปุ่น ว่าเป็นต้นเหตุของการขาดดุลการค้าของสหรัฐ ซึ่งขณะนี้ขาดดุลการค้ากับเยอรมนีที่ 68,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และขาดดุลกับญี่ปุ่น คิดเป็นมูลค่ารวม 67,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

อย่างไรก็ตาม นายกรัฐมนตรี “ชินโสะ อาเบะ” ได้ยืนยันว่า ภายหลังลงนามข้อตกลงการค้ากับสหรัฐบางส่วนเมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา “ทรัมป์” ได้ให้คำมั่นสัญญาแล้วว่าจะไม่มีการเพิ่มภาษีนำเข้าสินค้ายานยนต์จากญี่ปุ่น