สงครามการค้าผลัก ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำคัญต่อค่ายรถญี่ปุ่นยิ่งขึ้น
ที่ผ่านมา ค่ายรถญี่ปุ่นให้ความสำคัญกับตลาดยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้กันเป็นอย่างยิ่ง และช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อจากอิทธิพลของสงครามการค้าจีน - สหรัฐ นี่เอง ที่จะยิ่งกระตุ้นให้ตลาดในภูมิภาคนี้มีความสำคัญต่อค่ายรถญี่ปุ่นยิ่งขึ้นไปอีก โดย Frost & Sullivan สำนักวิเคราะห์จากสหรัฐฯ คาดการณ์ว่า ในปี 2019 ประเทศที่จะมีการเติบโตของตลาดยานยนต์สูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือไทย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ซึ่งเป็นผลจากการเติบโตทางเศรษฐกิจ การเติบโตของโครงสร้างพื้นฐาน และกำลังซื้อของผู้บริโภค
Frost & Sullivan คาดการณ์ว่า ตลาดยานยนต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่จะมีการเติบโตมากที่สุดคือประเทศไทย โดยคาดการณ์ยอดขายยานยนต์ใหม่ของปี 2019 ไว้ที่ 1,107,800 คัน เพิ่มขึ้นจากปี 2018 5.5% ซึ่งมีปัจจัยจากความพยายามในการผลักดันรถยนต์ไฟฟ้า (Electric Vehicle: EV) และโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และจะมียอดขายหลักมาจากยานยนต์เชิงพาณิชย์ ลำดับถัดมาคืออินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะมียอดขาย 1,192,700 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 4.2% ซึ่งเป็นผลจากการกระตุ้นการลงทุน ส่วนลำดับที่ 3 คือมาเลเซีย ซึ่งคาดว่าจะมียอดขาย 609,700 คัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 1.4%
ซึ่งรายงานฉบับนี้ เป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ค่ายรถญี่ปุ่นตัดสินใจรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น Toyota ที่เตรียมส่งยานยนต์อเนกประสงค์ (Multi Purpose Vehicle: MPV) “Avanza” โมเดลใหม่เข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียในปีนี้ และตั้งเป้ายอดขายไว้ที่เดือนละ 10,000 คันขึ้นไป เพื่อตอบสนองความต้องการยานยนต์สำหรับครอบครัวขนาดใหญ่ที่มีมากขึ้น
ส่วน Mazda นั้น Mr. Tetsuya Fujimoto เจ้าหน้าที่บริหารบริษัท กล่าวว่า “สงครามการค้าทำให้ยอดขายของเราในสหรัฐฯ และในจีน ในช่วงเดือนเมษายน ถึงเดือนธันวาคม 2018 ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก แต่ก็ได้ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ช่วยเอาไว้” ซึ่งมียานยนต์ที่ทำยอดได้ดีคือ “Demio” ในไทย และ “Mazda 3” ในเวียดนาม จึงตัดสินใจส่งเสริมการขายในทั้ง 2 ประเทศให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
ทางด้าน Mitsubishi Motors ได้ตัดสินใจเพิ่มกำลังผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ในภูมิภาคนี้ให้มากขึ้น และย้ายฐานการผลิตเครื่องยนต์ส่วนหนึ่งจากญี่ปุ่นเข้าสู่อินโดนีเซีย ยกระดับการผลิตชิ้นส่วนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จาก 60% เป็น 70%
Mr. Koji Ikeya รองประธาน Mitsubishi Motors กล่าวว่า “การรุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้คือการลดความเสี่ยง” และได้วางแผนเพิ่มกำลังส่งออกยานยนต์จากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้มากขึ้น ซึ่งสำหรับ Mitsubishi ที่เงินบาทเป็นรายได้หลักของบริษัทแล้ว การกระตุ้นการขายในไทย และประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคจะเป็นผลดีต่อบริษัทเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม Frost & Sullivan ยังรายงานเพิ่มเติมว่า การที่ประเทศส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ เป็นประเทศกำลังพัฒนา ทำให้การคาดการณ์ตลาดในอนาคตอาจมีความคาดเคลื่อน ยกตัวอย่างเช่นในกรณีของมาเลเซีย ซึ่ง 80% ของยอดขายยานยนต์เป็นรถยนต์นั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจได้ง่ายเป็นพิเศษ
อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าเป็นห่วง คือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก ซึ่งอาจได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าได้ อีกทั้งในไทย และอินโดนีเซียนั้น ยังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเลือกตั้ง ซึ่งอาจส่งผลให้เศรษฐกิจของทั้ง 2 ประเทศเปลี่ยนแปลงได้ โดย Mr. Osamu Masuko CEO บริษัท Mitsubishi กล่าวว่า “ปัจจัยภายนอกเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง”