สหรัฐฯ ติดกับดัก มาตรการกีดกันจีน เสี่ยงเสียแชมป์ “ผู้นำ อุตฯ เซมิคอนดักเตอร์”

อัปเดตล่าสุด 19 มี.ค. 2563
  • Share :
  • 945 Reads   

จากกลยุทธ์การกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ ผ่านมาตรการจำกัดการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ และการเข้าถึงเทคโนโลยีของสหรัฐฯ โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์และเทคโนโลยีสารสนเทศ (ICT) เพื่อสั่นคลอนยุทธศาสตร์ Made in China 2025 ของจีน ที่จะยกระดับอุตสาหกรรมการผลิตหลักในจีน เพื่อก้าวไปสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมของโลก ซึ่ง Boston Consulting Group ประเมินว่า สหรัฐอเมริกาอาจเสียตำแหน่ง “ผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์” ได้ จากสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่ยังดำเนินต่อ โดยเกาหลีใต้จะก้าวขึ้นมาแทน และตามด้วยจีนในท้ายสุด

ในยุค Digital Transformation และปัญญาประดิษฐ์ ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์ในช่วงหลายปีมานี้ ส่งผลให้ความต้องการเซมิคอนดักเตอร์เพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งในปัจจุบัน สหรัฐอเมริกา ได้ครองตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ด้วยส่วนแบ่งในตลาดโลกสูงถึง 45 - 50% ซึ่งเป็นจากการพัฒนานวัตกรรมที่รวดเร็ว ทำให้ผลิตภัณฑ์จากสหรัฐเข้าถึงตลาดทั่วโลก ส่งผลให้มีเงินมาหมุนเวียนในการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง

นับตั้งแต่สงครามการค้าจีน - สหรัฐฯ เริ่มต้น อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบเป็นอย่างมาก โดย 25 บริษัทของสหรัฐฯ ที่ครอบครองส่วนแบ่งสูงสุดในตลาดโลก มีการเติบโตของรายได้ต่อปีที่ลดลง จากมีค่าเฉลี่ย 10% เหลือเพียง 1% ทันทีที่จีนบังคับใช้มาตรการเก็บภาษีสินค้าครั้งแรกเมื่อเดือนกรกฎาคม 2018 จากนั้นในเดือนพฤษภาคม 2019 การแบนสินค้า และเทคโนโลยีของ Huawei ส่งผลให้กลุ่มบริษัทเหล่านี้สูญเสียรายได้อีก 4 - 9% ซึ่งแม้ว่าจะมีการบรรลุข้อตกลงขั้นต้นในเดือนมกราคม 2020 แล้ว แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความกังวลจากอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ ลดลงแต่อย่างใด

Boston Consulting Group คาดการณ์ว่า สหรัฐอเมริกาอาจเสียตำแหน่งผู้นำอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์จากสงครามการค้าจีน - สหรัฐ โดยปัจจุบัน ปริมาณการผลิตเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศจีน (ไม่รวมบริษัทต่างชาติในประเทศจีน) มีสัดส่วนคิดเป็น 14% ของความต้องการในประเทศจีนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม นโยบาย “Made in China 2025” จะกระตุ้นปริมาณการผลิตขึ้นไปอยู่ที่ 25 - 40% ซึ่งจะทำให้ส่วนแบ่งของเซมิคอนดักเตอร์ค่ายสหรัฐฯ ในจีน ซึ่งหากสงครามการค้ายังคงรุนแรงขึ้น จะมีความเป็นไปได้หลัก 2 ข้อ ดังนี้

  1. หากสหรัฐฯ ยังดำเนินมาตรการกีดกั้นการส่งออกเทคโนโลยี จะส่งผลให้อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ของสหรัฐฯ สูญเสียส่วนแบ่งในตลาดโลก 8% และรายได้ลดลง 16% ในช่วง 3-5 ปีข้างหน้า
  2. หากสหรัฐฯ แบนการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์ไปยังประเทศจีน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์สหรัฐฯ  อาจสูญเสียส่วนแบ่งในตลาดโลก 18% และรายได้ 37% 

 

ซึ่งทั้งสองกรณี จะส่งผลให้เม็ดเงินในการลงทุนวิจัยและพัฒนาลดลง ทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดต่ำลงไปด้วย ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงว่า หากทั้งสองกรณีนี้เกิดขึ้นจริง และประเทศที่จะขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดเซมิคอนดักเตอร์คือเกาหลีใต้ ก่อนที่จะตามด้วยจีนในระยะยาว เช่นเดียวกันกับในอุตสาหกรรมอุปกรณ์เครือข่าย และเทคโนโลยีอื่น ๆ อย่างที่ผ่านมา จนท้ายที่สุด สหรัฐฯ อาจต้องพึ่งพาการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากประเทศอื่นเสียเอง