บทวิเคราะห์อนาคต การเติบโตของ MaaS และ CASE

อัปเดตล่าสุด 4 ม.ค. 2562
  • Share :

Strategy& สำนักวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ภายใต้ PwC Consulting คาด บริการภายใต้แนวคิด MaaS (Mobility as a Service) ใกล้เกิดขึ้นจริง ด้วยแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจงานบริการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งสูงถึงปีละ 25% ไปจนถึงปี 2030 และคาดการณ์ว่า ในปีเดียวกันนี้ ตลาด MaaS ของสหรัฐฯ จีน และยุโรป จะมีมูลค่ารวมกันแล้วสูงถึง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ

Toyota และ SoftBank มีกำหนดการณ์ร่วมลงทุนบริษัทด้านบริการคมนาคม ซึ่งจะเกิดขึ้นภายในปีงบประมาณ 2018 ซึ่งจะสิ้นสุดลงในเดือนมีนาคมนี้ ส่วนทางด้าน Nissan นั้น แม้ยังไม่มีกำหนดการณ์เปิดตัว แต่ก็ได้ประกาศความร่วมมือกับ DeNA พร้อมพัฒนาบริการคมนาคมด้วยยานยนต์ไร้คนขับ ส่วน Honda เอง ก็ได้จับมือกับ General Motors และตั้งเป้าเปิดตัวบริการ Ride Sharing หลังจากปี 2019 นี้

ซึ่งด้วยแนวคิดเช่นนี้เอง ที่ทำให้รายได้ของอุตสาหกรรมยานยนต์ จะมาจากการบริการ แทนที่การขายสินค้า โดยคาดการณ์ว่า ผลกำไรซึ่งได้จากการขายชิ้นส่วนยานยนต์ และบริการหลังการขาย จะมีส่วนแบ่งลดลงจาก 71% ในปัจจุบัน เหลือเพียง 41% ในปี 2030 ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายรายต้องเร่งปรับตัวโดยเร็ว

Strategy& รายงานว่าในปี 2030 ตลาด MaaS จะมีมูลค่า 28 ล้านล้านเยนในสหรัฐฯ 73 ล้านล้านเยนในจีน และ 50 ล้านล้านเยนในยุโรป โดยให้เหตุผลที่จีนเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงสุดไว้ว่าเป็นผลจากความรวดเร็วในการพัฒนาเทคโนโลยี และการบังคับใช้จากภาครัฐ ส่วนในตลาดอื่น ๆ นั้น ไม่ใช่ว่าการพัฒนาเป็นไปได้ช้า แต่การที่การคมนาคมส่วนใหญ่ถูกรับผิดชอบโดยภาคเอกชน ทำให้รัฐบาลมีอำนาจในการยังคับใช้ต่ำ ตรงกันข้ามกับประเทศจีนอย่างสิ้นเชิง


นอกจากนี้ อีกสาเหตุที่ทำให้ประเทศจีนมีแนวโน้มการเติบโตในธุรกิจ MaaS สูง คือผู้บริโภคเอง โดยจากแบบสำรวจ พบว่า 79% ของผู้ใช้ยานยนต์ในจีน “เต็มใจเลิกใช้ยานยนต์ส่วนบุคคล” แล้วเปลี่ยนมาใช้บริการจาก MaaS แทนที่ ในขณะที่สหรัฐฯ และยุโรป อยู่ที่ 38% และ 47% ตามลำดับ

โดยปัจจัยสำคัญ ที่จะทำให้แนวคิดนี้ใช้งานได้จริง คือขีดความสามารถของงานบริการด้วยยานยนต์ ที่ต้องตอบสนองกับผู้ใช้ได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มผู้บริโภคที่เกิดหลังปี 2000 ซึ่ง PwC รายงานว่า “เห็นความสำคัญของการเป็นเจ้าของรถน้อยลงกว่ายุคก่อน” ซึ่งประชากรกลุ่มนี้เอง ที่จะมีจำนวนมากถึง 50% ในอนาคต การบริการที่ตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ได้ จึงเชื่อมโยงไปสู่ความแพร่หลายของ MaaS โดยตรง

ปัจจัยสำคัญอีกอย่าง คือแนวคิด CASE ซึ่งการจะปฏิบัติตามแนวคิด MaaS ได้นั้น เทคโนโลยีการเชื่อมต่อระหว่างยานยนต์ แผนที่ประสิทธิภาพสูง และเทคโนโลยีสารสนเทศน์อื่น ๆ เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้

นอกจากนี้ ยังคาดการณ์เพิ่มเติมว่า ก่อนหน้าแนวคิด MaaS จะประสบความสำเร็จนั้น สิ่งที่จะประสบความสำเร็จก่อนคือรถยนต์ไฟฟ้า และยานยนต์อัตโนมัติ ในปี 2020 และ 2025 ตามลำดับ