กรีนเทอมินัล ลุยขยายธุรกิจแนวกว้าง รับมือเชื้อเพลิงการเกษตรเหลือใช้ราคาผันผวน

อัปเดตล่าสุด 3 พ.ย. 2561
  • Share :

กรีนเทอมินัล ชี้ ปริมาณเชื้อเพลิงจากวัสดุเหลือทิ้งทางการเกษตรแปรผันตามฤดูกาล พร้อมเร่งแผนขยายธุรกิจแนวกว้างให้ครอบคลุมทุกด้าน หวังรับมือความผันผวนด้านราคา โดยตั้งเป้าลงทุนปีหน้ากว่า 30 ล้านบาท แบ่งเป็นธุรกิจจำหน่ายเชื้อเพลิง 20 ล้านบาท และธุรกิจขนส่งอุตสาหกรรม 10 ล้านบาท มั่นใจปีหน้าธุรกิจโตกว่า 50% 

นายอัครเดช นิลจำรัส กรรมการผู้จัดการ บริษัท กรีนเทอมินัล จำกัด (Green Terminal Co., Ltd.) ผู้จัดหาและจำหน่ายเชื้อเพลิงแข็งและชีวมวลเพื่อการผลิตป้อนให้กับโรงงานอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า “เชื้อเพลิงที่ได้จากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรอย่างกะลาปาล์ม กะลามะพร้าว ไม้สับ ฯลฯ เหล่านี้จะแปรผันตามฤดูกาล เนื่องจากเป็นเศษวัสดุที่ได้มาจากพืชผลทางการเกษตร มนุษย์ไม่สามารถผลิตเองได้ ดังนั้น ในช่วงที่มีดีมานต์สูง แต่เชื้อเพลิงมีปริมาณจำกัด ก็ย่อมส่งผลให้ราคาดีดตัวสูงขึ้น ในทางกลับกันเมื่อปริมาณเศษวัสดุมีมากขึ้น แต่ดีมานต์เท่าเดิม ราคาก็ย่อมปรับตัวลดลง ซึ่งเป็นไปตามกลไกตลาด”

“แต่สิ่งที่ต้องรับมือคือความผันผวนด้านราคาที่อาจเกิดขึ้นได้เสมอ แน่นอนว่านั่นคือความเสี่ยงที่ต้องแบกรับในธุรกิจนี้ เราจึงต้องคอยมอนิเตอร์และหาโซลูชันเพื่อแก้ปัญหาอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการปริมาณสินค้าในสต๊อคอย่างเหมาะสม ซึ่งสินค้าจากวัสดุทางธรรมชาติหากบริหารจัดการสต๊อคไม่ดี โอกาสที่จะขาดทุนมีสูง เนื่องจากมีความสูญเสียในการกองเก็บจากหลายปัจจัย เช่น การติดไฟ การตกหล่นระหว่างขนส่งและยกตัก การชะล้างของน้ำฝน การถูกทำลายจากศัตรูพืชและสัตว์ปีก ฯลฯ นอกจากนี้ ยังต้องดูแลเรื่องคุณภาพและการจัดเก็บอย่างรัดกุมมากกว่าสินค้าทั่วไป เพราะความเสียหายของสินค้าก็ถือเป็นหนึ่งในต้นทุนของบริษัทฯ” นายอัครเดช กล่าว

ทั้งนี้ นอกจากต้นทุนสินค้าแล้ว ยังมีต้นทุนอีกหลายส่วนที่มีผลต่อราคาจำหน่ายเชื้อเพลิง ไม่ว่าจะเป็นค่าบริหารจัดการ ค่าการกองเก็บ ค่าการรับประกันและเคลมสินค้า ค่าการตลาด รวมไปถึงค่าขนส่งซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งต้นทุนสำคัญที่มีผลต่อราคาเชื้อเพลิงอยู่ไม่น้อย 

กรรมการผู้จัดการของกรีนเทอมินัล ระบุว่า “ค่าขนส่งถือเป็นอีกหนึ่งต้นทุนหลักที่มีผลต่อราคาสินค้า หากสามารถบริหารจัดการระบบขนส่งได้ดีและมีประสิทธิภาพก็จะช่วยให้ต้นทุนในส่วนนี้ถูกลง ซึ่งในปีนี้เราได้เปิดอีกหนึ่งบริษัทขึ้นมาใหม่ชื่อว่า บริษัท ได้ด่วนดี จำกัด (Dai Duan Dee Co., Ltd.) เพื่อมาดูแลและจัดการระบบขนส่งสินค้าทั้งหมดของบริษัท พร้อมทั้งให้บริการขนส่งสินค้าอุตสาหกรรมจากทั่วประเทศ ด้วยรถบรรทุกของเราเองและรถในเครือกว่า 20 คัน” 

“บริษัทฯ กำลังเร่งขยายธุรกิจในแนวกว้างมากขึ้น เพื่อให้ครอบคลุมและรองรับกับทุกส่วนของธุรกิจที่เราทำ ทั้งนี้ ก็เพื่อช่วยลดและกระจายความเสี่ยงออกไป จากเดิมที่เราโฟกัสเฉพาะรายได้หลักจากการจำหน่ายสินค้า ก็ปรับแผนมามุ่งเพิ่มรายได้จากส่วนอื่นให้มากขึ้น โดยเฉพาะงานด้านขนส่งที่จะเข้ามาช่วยเสริมรายได้ของบริษัทฯ อีกช่องทางหนึ่ง” กรรมการผู้จัดการของกรีนเทอมินัล กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนในปีหน้า บริษัทฯ ตั้งเป้าการลงทุนไว้ที่ประมาณ 30 ล้านบาท โดยเป็นสัดส่วนการลงทุนในธุรกิจจำหน่ายเชื้อเพลิงแข็งและชีวมวลประมาณ 20 ล้านบาท และธุรกิจขนส่งอุตสาหกรรมอีก 10 ล้านบาท ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้มีการลงทุนขยายพื้นที่กองเก็บและโรงปรับสภาพสินค้าไปบ้างแล้ว เพื่อให้มีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า อีกทั้งยังมีการติดตั้งเครื่องจักรเพิ่มเติมสำหรับใช้คัดแยกสินค้าและสิ่งปลอมปนที่ไม่พึงประสงค์ เช่น ขยะหรือเศษวัสดุอื่น ๆ ที่ไม่ต้องการ เพื่อให้ลูกค้าได้สินค้าที่มีคุณภาพและไม่สร้างปัญหาต่อกระบวนการผลิต นอกจากนี้ ในอนาคตอันใกล้ยังได้เตรียมแผนจัดหาพื้นที่เพื่อก่อสร้างคลังจัดเก็บและโรงปรับสภาพสินค้าแห่งที่ 2 เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งคาดว่าการลงทุนดังกล่าวจะช่วยดันให้ธุรกิจในปีหน้าโตกว่า 50% 

นายอัครเดช กล่าวว่า “ปัจจุบันโรงงานหลายแห่งได้หันมาเลือกใช้เชื้อเพลิงจากวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตรมากขึ้น เนื่องด้วยต้นทุนด้านราคาที่ต่ำกว่าเชื้อเพลิงประเภทอื่น ทั้งยังให้ค่าความร้อนในระดับที่ยอมรับได้ และช่วยส่งเสริมเรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งในอนาคตก็ยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นจึงทำให้มีผู้ประกอบการหลายรายเห็นโอกาสและเข้ามาในธุรกิจนี้มากขึ้น แต่ก็ล้มหายตายจากอย่างรวดเร็วไปหลายรายเช่นกัน เนื่องจากแบกรับความผันผวนด้านราคาไม่ไหวและไม่สามารถควบคุมคุณภาพสินค้าได้ตามที่ลูกค้าต้องการ”

“ธุรกิจนี้ไม่ง่ายสำหรับมือใหม่ ยิ่งถ้าไม่มีความรู้ความเข้าใจมากพอในการดูแล ควบคุม และบริหารจัดการสินค้า ก็ไปต่อลำบาก ซึ่งจุดเด่นที่ทำให้เราสามารถยืนหยัดในธุรกิจนี้มาได้อย่างต่อเนื่องก็เพราะเราเข้าใจสินค้าของเรา และรู้ว่าจะต้องบริหารจัดการให้มันมีคุณภาพได้อย่างไร รวมไปถึงการเข้าใจในความต้องการของลูกค้าว่าเขาต้องการอะไร ต้องการสินค้าคุณภาพแบบไหน ปริมาณเท่าไหร่ และต้องการความรวดเร็วในการจัดส่งมากน้อยเพียงใด ทุกอย่างเราสามารถตอบโจทย์ได้หมด นั่นคือสิ่งที่ทำให้ลูกค้าไว้วางใจ และเลือกเราเป็นคู่ค้าชั้นดีมาจนถึงปัจจุบัน” นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย