รัฐบาลเยอรมันจริงจัง อัดฉีดงบ ดันรถยนต์ไฟฟ้าและปลั๊กอินไฮบริด ลดโลกร้อน

อัปเดตล่าสุด 11 มี.ค. 2563
  • Share :

รถยนต์ไฟฟ้า-รถปลั๊กอินไฮบริด คือ กุญแจดอกสำคัญสู่การลดก๊าซเรือนกระจก ซึ่งรัฐบาลเยอรมันได้อัดฉีดงบประมาณสนับสนุนค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ซื้อรถยนต์สองประเภทนี้ พร้อมตั้งเป้าติดตั้งสถานีชาร์จไฟ 1 ล้านแห่งในปี 2030

ยุโรปมีความเข้มงวดในมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก และได้ประกาศ “European Green Deal” เป้าหมายใหม่เพื่อการลดโลกร้อนเมื่อนเดือนธันวาคม 2019 พร้อมตั้งเป้าลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50-55% ในปี 2030 และเป็นศูนย์ในปี 2050

สำหรับประเทศเยอรมนีซึ่งเป็นเขตเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดในยุโรป ได้ตั้งเป้าลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกโดยมุ่งไปที่ภาคการคมนาคมเป็นหลัก ซึ่งกุญแจดอกสำคัญคือรถยนต์ไฟฟ้าและรถปลั๊กอินไฮบริด ดังนั้น หากสามารถส่งเสริมให้แพร่หลายก็จะช่วยลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้เป็นอย่างมาก

อย่างไรก็ตาม การจะลดปริมาณการปล่อยก๊าซให้ได้ตามเป้าหมาย จำเป็นต้องมีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า 7-10 ล้านคันเสียก่อน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 15-20% ของรถยนต์นั่งส่วนบุคคลในประเทศเยอรมนี

เมื่อปี 2019 ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าของเยอรมนี มีจำนวนเพิ่มขึ้น 75.5% ส่วนรถปลั๊กอินไฮบริด เพิ่มขึ้น 44.2% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และเป็นผลจากการอัดฉีดเงินลงทุน และงบสนับสนุนจากภาครัฐให้อุตสาหกรรมยานยนต์ รวมถึงการติดตั้งแท่นชาร์จไฟตามปั๊มน้ำมันเพิ่มขึ้น  โดยรัฐบาลเยอรมันรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในอุตสาหกรรมยานยนต์ถึงครึ่งหนึ่ง โดยช่วยจ่ายค่ารถยนต์ไฟฟ้าเป็นเงิน 2,000 ยูโรในปี 2016 และเพิ่มเป็น 4,000 ยูโรในปี 2018 ส่วนรถยนต์ไฮบริดอยู่ที่ 1,500 ยูโร และ 3,000 ยูโรตามลำดับ ส่วนจำนวนสถานีชาร์จไฟนั้น ในปี 2018 มี 16,000 แห่ง ก่อนเพิ่มเป็น 24,000 แห่งในปี 2019

อย่างไรก็ตาม แม้ยอดขายจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้า มีเพียง 63,000 คัน คิดเป็น 1.8% จากยอดจดทะเบียนยานยนต์ใหม่ทั้งหมดในปี 2019 ส่วนรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริด อยู่ที่ 45,000 คัน คิดเป็น 1.3% ส่งผลให้รัฐบาลเยอรมันตัดสินใจเพิ่มงบประมาณสนับสนุน และช่วยค่าใช้จ่ายในการซื้อรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นระหว่างช่วงปี 2020 - 2025 และตั้งเป้าติดตั้งสถานีชาร์จไฟเพิ่ม 1 ล้านแห่งทั่วประเทศภายในปี 2030

อุตสาหกรรมยานยนต์เยอรมันแสดงความเห็นว่า การบังคับใช้มาตรการด้านสิ่งแวดล้อมส่งผลกระทบในแง่ลบต่อยอดขายยานยนต์เป็นอย่างมาก  โดยเฉพาะยานยนต์ที่ใช้น้ำมันดีเซล แต่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ ผู้บริโภคตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมมากขึ้น ได้ส่งเสริมให้รถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดเป็นโอกาสทางธุรกิจครั้งใหม่ และมีความคิดว่า หากสามารถพัฒนายานยนต์ให้ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทั้งในด้านของรูปลักษณ์และราคา รวมถึงได้รับการสนับสนุนอย่างจริงจังจากภาครัฐแล้ว รถยนต์ไฟฟ้าจะกลายเป็นที่นิยมได้ภายในเวลา 5 ปีเท่านั้น