นายกฯ ปลุกโอกาสลงทุนไร้ขีดจำกัด ประกาศความพร้อมประเทศไทยสู่จุดหมายลงทุนระดับโลก

นายกฯ ปลุกโอกาสลงทุนไร้ขีดจำกัด ประกาศความพร้อมประเทศไทยสู่จุดหมายลงทุนระดับโลก

อัปเดตล่าสุด 13 มี.ค. 2568
  • Share :

นายกฯ แพทองธาร ชินวัตร เปิดงานสัมมนาใหญ่ประจำปีบีโอไอ ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” ร่วมปลุกกระแสการลงทุนไร้ขีดจำกัด พลิกความท้าทาย เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตครั้งใหญ่ให้กับประเทศไทย บีโอไอพร้อมผนึกกำลังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสร้างระบบนิเวศพร้อมรองรับคลื่นการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ยกระดับประเทศไทยก้าวสู่จุดหมายการลงทุนระดับโลกที่ยั่งยืนในอนาคต

12 มีนาคม 2568 - นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2567 บีโอไอได้จัดสัมมนาครั้งใหญ่ประจำปี ภายใต้แนวคิด “Ignite Thailand: Invest in Endless Opportunities” ณ โรงแรม ดิ แอทธินี โฮเทล แบงค็อก โดยมีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมกล่าวปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “โอกาสการลงทุนไร้ขีดจำกัดในประเทศไทย” นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ปาฐกถาพิเศษ หัวข้อ “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” เสวนา หัวข้อ “การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมใหม่” นำโดยบีโอไอ และปลัดกระทรวงที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ วิศิษฏ์สรอรรถ ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ดร. ประเสริฐ สินสุขประเสริฐ ปลัดกระทรวงพลังงาน และศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย ปทุมนากุล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อร่วมผลักดันประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลกอย่างยั่งยืน โดยมีนักลงทุนเข้าร่วมงานกว่า 1,000 คน  ประกอบด้วยผู้บริหารจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชน นักลงทุนไทยและต่างชาติ ผู้ประกอบการ SMEs ผู้แทนสถาบันการศึกษาและสถาบันวิจัย สถาบันการเงิน สื่อมวลชนทั้งไทยและต่างชาติ

นางสาวแพทองธาร กล่าวว่า วันนี้การลงทุนทั่วโลกมีความท้าทายมากขึ้น การมองหาโอกาสการลงทุนใหม่ ๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน ธุรกิจต่าง ๆ ช่วยผลักดันเศรษฐกิจของไทยให้เติบโต เปลี่ยนความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกให้เป็นโอกาส เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจไทยครั้งใหญ่ ซึ่งรัฐบาลพร้อมจะแสดงความเชื่อมั่นให้นักลงทุนเห็นว่าประเทศไทยมีความพร้อม ในการสร้างโอกาสการลงทุนในระยะยาว โดยเฉพาะการเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ทั้งรถไฟความเร็วสูง รถไฟทางคู่ในเฟส 2 ที่จะเชื่อมต่อในระดับภูมิภาค รวมถึงท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 และการพัฒนาท่าอากาศยาน ตลอดจนการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์เชื่อมระหว่างฝั่งอันดามันและอ่าวไทย ยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางโลจิสติกส์ของภูมิภาค เพื่อตอบสนองความต้องการของนักลงทุน

“ถือเป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่ง ที่ประเทศไทยสามารถทำสถิติใหม่ ในปีที่ผ่านมา มียอดส่งเสริมลงทุนกว่า 1.13 ล้านล้านบาท สูงสุดในรอบ 10 ปี ขอบคุณบีโอไอที่ทำงานอย่างหนักและสร้างผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ 
แต่รัฐบาลยังต้องเร่งทำอีกหลายเรื่อง เพื่อรองรับความต้องการ และสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงสร้างด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมอนาคต อย่างเซมิคอนดักเตอร์ ดาต้าเซ็นเตอร์ และคลาวด์ ซึ่งจะทำให้เกิดการลงทุนในระยะยาว ขณะเดียวกันต้องเร่งสร้างบุคลากร การให้ทุนเรียนในสาขาที่ขาดแคลน โดยมีแผนผลิตบุคลากรกว่า 80,000 คน และดึงดูดบุคลากรจากทั่วโลก รวมทั้งต้องส่งเสริมบรรยากาศ ทำให้การลงทุนง่ายขึ้น รวมถึงการพัฒนาอุตสาหกรรมที่เป็นจุดแข็งของไทย ไม่ว่าจะเป็นภาคผลิต การเกษตร อาหาร ท่องเที่ยว และการแพทย์ให้สามารถแข่งขันได้” นางสาวแพทองธาร กล่าว

ด้านนายพิชัย กล่าวปาฐกถาเรื่อง “ความพร้อมประเทศไทยเพื่อการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก” โดยระบุว่า ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินทางไปชักจูงการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบริษัทที่ลงทุนในประเทศไทยมากกว่า 60 ปี ทั้งสหรัฐ ยุโรป และเอเชีย แต่ครั้งนี้เป็นการไปเพื่อชักจูงการลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ ทั้งเซมิคอนดักเตอร์ อิเล็ทรอนิกส์ขั้นสูง ยานยนต์สมัยใหม่ และไบโอเทคโนโลยี และจากตัวเลขการลงทุนที่ออกมากว่า 1.13 ล้านล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าประเทศไทยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี นอกจากนี้ รัฐบาลจะเร่งดำเนินการเจรจาทางการค้า ซึ่งขณะนี้สำเร็จไปแล้ว 23 ประเทศ ซึ่งจะทำให้นักลงทุนมีตลาดมากขึ้น และไทยมีศักยภาพในการเป็นจุดหมายการลงทุนระดับโลก

“ประเทศไทย มีพื้นฐานที่ดี โดยเฉพาะในเซกเตอร์สำคัญ ทั้งยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูง ที่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ เพราะมีซัพพลายเชนที่แข็งแกร่ง และต้องปรับปรุงให้ดีขึ้น ก้าวไปสู่อุตสาหกรรมต้นน้ำ รวมถึงอุตสาหกรรมที่ไทยมีศักยภาพอย่างเกษตรและอาหาร และการท่องเที่ยว โดยต้องการยกระดับประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางของอุตสาหกรรม BCG โดยให้ความสำคัญกับเรื่องคุณภาพมากกว่าปริมาณ พยายามแก้ไข กฎ ระเบียบต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็น รวมถึงการขยายขอบเขตการทำงานของบีโอไอ เพื่อเติมเต็มความต้องการของนักลงทุนให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจะเป็นการสร้างความยั่งยืนให้ระบบเศรษฐกิจไทย” นายพิชัย กล่าว

4 หน่วยงานผนึกกำลังเสริมแกร่งโครงสร้างพื้นฐาน

สำหรับการเสวนา ในหัวข้อ “การขับเคลื่อนการลงทุนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่อุตสาหกรรมใหม่” บีโอไอ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประกาศความพร้อมในการสนับสนุนประเทศไทยให้เป็นจุดหมายของการลงทุนระดับโลก

นายนฤตม์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ส่งเสริมการลงทุนของบีโอไอ มุ่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยไปสู่เศรษฐกิจใหม่ ที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และความคิดสร้างสรรค์ โดยให้ความสำคัญกับการส่งเสริมโครงการที่สร้างประโยชน์ในเชิงเศรษฐกิจและมีมูลค่าสูง ที่สำคัญต้องก่อให้เกิดกระบวนการผลิตที่มีผลต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน เช่น การส่งเสริมการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ ยกระดับผู้ประกอบการไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืนด้วยการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ระบบอัจฉริยะ และหุ่นยนต์ เป็นต้น

นอกจากนี้ จะร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และระบบนิเวศที่เอื้อต่อการลงทุนสร้างฐานผลิตในอุตสาหกรรมใหม่ เช่น การพัฒนาบุคลากรในอุตสาหกรรมใหม่ อย่างเซมิคอนดักเตอร์ PCB ดิจิทัล และ AI การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะดิจิทัล การลดข้อจำกัดของกฎหมายที่เป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ รวมถึงการยกระดับพัฒนา Supply Chain ของอุตสาหกรรมใหม่ให้แข็งแกร่งรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมในอนาคต

“แนวโน้มสงครามการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ประเทศไทยเตรียมพร้อมรองรับผลกระทบ และทำให้มั่นใจว่าโครงการที่ได้รับการส่งเสริม ต้องมีกระบวนการผลิตในสาระสำคัญเกิดขึ้นจริงภายในประเทศ และไม่มีการ
สวมสิทธิ พร้อมส่งเสริมให้มีการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ รวมถึงการร่วมทุนเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับผู้ผลิตไทย นอกจากนี้ บีโอไอได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังเพื่อลดผลกระทบจาก Global Minimum Tax โดยให้เครดิตภาษี จากการลงทุนเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น ด้านวิจัยและพัฒนา ด้านการพัฒนาบุคลากรด้านการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนมีภาระภาษีลดลง” นายนฤตม์ กล่าว

ศาสตราจารย์ ดร. ศุภชัย กล่าวว่า อว. ได้เตรียมแผนพัฒนาบุคลากรรองรับการสร้างอุตสาหกรรมอนาคต โดยมีเป้าหมายใน 5 ปี จะผลิตบุคลากรในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์และอิเล็กทรอนิกส์ขั้นสูงจำนวน 80,000 คน อุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้า 150,000 คน และ AI 50,000 คน ผ่านการ Upskill / Reskill การจัดหลักสูตรพิเศษ Sandbox และการให้ทุนวิจัยและพัฒนาในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมีแพลตฟอร์มการพัฒนากำลังคนสมรรถนะสูง STEM One-Stop Service ที่ร่วมกับบีโอไอในการให้สิทธิประโยชน์แก่นักลงทุนที่มีการลงทุนพัฒนาบุคคลในอุตสาหกรรมเป้าหมาย นอกจากนี้ ยังมีกลไกของกองทุนวิจัยที่สนับสนุนการพัฒนานักวิจัยเพื่อรองรับอุตสาหกรรมในอนาคต

ด้าน ดร.ประเสริฐ กล่าวว่า กระทรวงพลังงานได้เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายใหม่ของโลกการลงทุน โดยเฉพาะความผันผวนด้านพลังงานของโลก โดยแผน PDP ฉบับใหม่ ได้เพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด จากร้อยละ 22.6 ในปี 2567 เป็นร้อยละ 51 ในปี 2580 หรือเพิ่มขึ้น 63,867 เมกะวัตต์ นอกจากนี้ได้เตรียมแผนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานเพื่อรองรับการเปลี่ยนผ่านสู่อุตสาหกรรมสีเขียว โดยใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการยกระดับพลังงานไทย เพื่อรองรับอุตสาหกรรมใหม่ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ไฟฟ้าและดิจิทัล รวมถึงการพัฒนาระบบไฟฟ้ารูปแบบใหม่ (Grid Modernization) รองรับการบริหารจัดการระบบไฟฟ้าของไทยให้มีความมั่นคง มีราคาที่เหมาะสม และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม รวมถึงอยู่ระหว่างการศึกษาแนวทางการจัดทำ Direct PPA ใน 2 รูปแบบ รูปแบบแรก คือ กลไกการจัดหาพลังงานสะอาด (Utility Green Tariff: UGT) สำหรับภาคอุตสาหกรรมผ่านการไฟฟ้า รูปแบบที่สอง เปิดให้เอกชนซื้อไฟฟ้าผ่านบุคคลที่สาม (Third Party Access: TPA) โดยมีโครงการนำร่องในการซื้อขายไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน จำนวน 2,000 เมกะวัตต์ให้กับธุรกิจ Data Center

ศาสตราจารย์พิเศษวิศิษฏ์ กล่าวว่า ตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ ประเทศไทยให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการเติบโตบนพื้นฐานเศรษฐกิจดิจิทัล โดยตั้งเป้าหมายว่าในปี 2570 มูลค่าของเศรษฐกิจดิจิทัล จะมีสัดส่วนร้อยละ 30 ของจีดีพี และก้าวขึ้นไปอยู่ในอันดับ 30 ของประเทศที่มีความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของโลก ซึ่งในปี 2567 ไทยอยู่ในอันดับที่ 37 ของโลก และเป็นอันดับ 3 ในอาเซียน โดยปัจจัยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของไทยอยู่ในอันดับต้น ๆ จากกว่า 70 ประเทศทั่วโลก

กระทรวงดีอี พร้อมสนับสนุนความพร้อมของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายด้านการลงทุน โดยการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในหลาย ๆ ด้าน เช่น นโยบาย “Cloud First” เพื่อผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางข้อมูลและบริการคลาวด์ของภูมิภาค การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI รวมทั้งมีการพัฒนาเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสนับสนุนการลงทุน เช่น การทำธุรกรรมออนไลน์ สิทธิพิเศษด้านภาษี และการสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ

#IgniteThailand #InvestInEndlessOpportunities #ThailandInvestment #BOI #แพทองธารชินวัตร #ลงทุนไร้ขีดจำกัด #อุตสาหกรรมใหม่ #เศรษฐกิจไทย #ThailandGlobalHub #SustainableInvestment #ข่าวอุตสาหกรรม 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH