DE–ETDA–TMA เปิดยุทธศาสตร์ดิจิทัลปี 2570 ดัน GDP ไทยโต 30% พ้นกับดักรายได้ปานกลาง

DE–ETDA–TMA ผนึกกำลัง เปิดยุทธศาสตร์ดิจิทัลไทยปี 2570 ดัน GDP โต 30% หนุนไทยพ้นกับดักรายได้ปานกลาง

อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 2568
  • Share :

กระทรวงดีอี-ETDA จับมือ TMA เปิดเวทีแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์ผู้เชี่ยวชาญเร่งขับเคลื่อนศักยภาพดิจิทัลไทย ดัน GDP เติบโตสู่รายได้สูง อย่างยั่งยืน!

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ร่วมกับ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA และ สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย (TMA) เปิดเวที สัมมนา “Navigating Thailand’s Sustainable Digital Future” เวทีสำคัญที่จัดขึ้นเพื่อสร้างการรับรู้และความเข้าใจต่อนโยบายและความก้าวหน้าในการพัฒนาทางด้านดิจิทัล เปิดพื้นที่ให้ภาครัฐและเอกชนร่วมกำหนดยุทธศาสตร์ ขับเคลื่อนประเทศไทยสู่อนาคตดิจิทัลอย่างยั่งยืน ตั้งเป้ายกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลไทย อยู่ 30 อันดับแรกของโลก และผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนถึง 30% ของ GDP ภายในปี 2570

8 พฤษภาคม 2568-ดร.ปิยนุช วุฒิสอน รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวถึงบทบาทและแนวทางการผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของกระทรวงฯ ในหัวข้อ “Thailand’s Digital Growth Engine” ว่า กระทรวงฯ มุ่งส่งเสริมให้เศรษฐกิจดิจิทัลเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของประเทศ โดยตั้งเป้าให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนไม่น้อยกว่า 30% ของ GDP ภายในปี 2570 จากเดิมที่อยู่ที่ประมาณ 25% ในปี 2567 การเติบโตนี้เกิดจากการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในภาคการผลิตและบริการ ส่งผลให้ประสิทธิภาพการดำเนินงานดีขึ้น และช่วยขยายตัวทางเศรษฐกิจในภาพรวม เศรษฐกิจดิจิทัลจึงถือเป็น "เครื่องยนต์ใหม่" ของเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะในช่วงที่เศรษฐกิจโลกเผชิญกับความผันผวนและความไม่แน่นอนจากประเด็นข้อพิพาทระหว่างประเทศมหาอำนาจที่กำลังเกิดขึ้น

ปัจจุบันพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการซื้อขายออนไลน์ (e-Commerce) หรือการใช้บริการผ่านแอปฯ ต่างๆ เช่น ขนส่งและเดินทาง ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของ "เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม" (Platform Economy) ที่เติบโตอย่างรวดเร็วและส่งผลเชิงบวกต่อภาคการผลิตและการลงทุนของประเทศ และเพื่อสนับสนุนเป้าหมายนี้ กระทรวงฯ ยังตั้งเป้าให้ไทยก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 30 ประเทศที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลสูงที่สุดในโลก ตามการจัดอันดับ World Digital Competitiveness Ranking โดย IMD ภายในปี 2570 (จากอันดับ 37 ในปี 2567) พร้อมทั้งยกระดับทักษะการรู้เท่าทันสื่อและความเข้าใจดิจิทัลของประชาชนให้มีคะแนนเฉลี่ยไม่น้อยกว่า 80 คะแนน จากเดิม 74.4 คะแนนในปี 2566

ทั้งนี้ ได้เร่งดำเนินการผ่านการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งรัฐและเอกชนใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ 1.Thailand Competitiveness – ยกระดับความรู้ ทักษะ และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศ 2.Safety & Security – เสริมความมั่นคงปลอดภัยในการใช้งานดิจิทัล 3.Human Capital – พัฒนาศักยภาพบุคลากรดิจิทัลในทุกระดับ

“รัฐบาลยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ทั้งในการทำงานและบริการต่าง ๆ โดยเน้นสร้างบุคลากรที่มีทักษะในการใช้งาน AI รวมถึงนักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญด้านนี้ เพื่อให้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายสาขา อาทิ การเงิน อุตสาหกรรม และสาธารณสุขอย่างมีประสิทธิภาพและสมดุล” ดร.ปิยนุช กล่าวทิ้งท้าย

ด้าน นายมีธรรม ณ ระนอง รองผู้อำนวยการ ETDA กล่าวภายใต้หัวข้อ “Enhancing Trust and Security in e-Transactions through Co-Regulation” ว่า “ การผลักดันให้เศรษฐกิจดิจิทัลมีสัดส่วนถึง 30% ของ GDP ประเทศไทยภายในปี 2570 และขยับอันดับความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของไทยขึ้นสู่อันดับที่ 30 ของโลกนั้น ภาครัฐต้องไม่เพียงแค่ออกกติกา      แต่ต้องเป็นผู้ร่วมออกแบบและผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลให้เกิดขึ้นจริง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยเติบโตได้เต็มศักยภาพ และช่วยให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น จากระดับรายได้เฉลี่ยปัจจุบัน 7,800 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 261,000 บาท) ไปสู่เป้าหมายที่ 14,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี (ประมาณ 470,000 บาท) ซึ่งจะทำให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากกับดักประเทศรายได้ปานกลาง และก้าวสู่ประเทศรายได้สูงอย่างยั่งยืน

โดย ในการเดินหน้าเศรษฐกิจดิจิทัล ท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก ETDA ให้ความสำคัญกับการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อร่วมกำหนดแนวทางการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI ที่สอดคล้องกัน โดยในปี 2568 ETDA จะเน้นการทำงานใน 4 ด้านหลัก ได้แก่ 

1.) Digital Infrastructure and Ecosystem สนับสนุนการใช้งาน Digital ID และ E-service ทั้งในภาครัฐและเอกชน รวมถึงส่งเสริมการใช้เอกสารอิเล็กทรอนิกส์ 

2.) Digital Service and Governance ขยายการใช้บริการ Digital Platform อย่างมีประสิทธิภาพ และสร้างเครือข่ายความร่วมมือเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดจากแพลตฟอร์ม 

3.) Digital Adoption & Transformation สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีดิจิทัล โดยเฉพาะในธุรกิจขนาดกลางและเล็ก เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน 

4.) Digital Workforce Literacy & Protection พัฒนาหลักสูตร e-learning และทักษะดิจิทัลเฉพาะทาง รวมถึงจัดทำศูนย์รวมข้อมูลความรู้กลาง (Content Management)

ทั้ง 4 แนวทางนี้มีจุดมุ่งหมายร่วมกันคือ สร้างรากฐานที่แข็งแรงให้กับเศรษฐกิจดิจิทัลของประเทศ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน ด้วยการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลและ AI เป็นเครื่องมือสำคัญในการพัฒนา” นายมีธรรม กล่าวทิ้งท้าย

ในงานนี้ ยังเปิดวงเสวนาในหัวข้อ “Accelerating Digital Economy through Integrated Digital Platforms” หรือ “เร่งเครื่องเศรษฐกิจดิจิทัลด้วยแพลตฟอร์มดิจิทัลแบบบูรณาการ” โดยผู้เชี่ยวชาญจากภาครัฐและเอกชน ได้แก่ นายธีรวุฒิ ธงภักดิ์ รองเลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ นางสาวอ้อนฟ้า เวชชาชีวะ เลขาธิการคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ นางสาวขนิษฐ์ ผาทอง ที่ปรึกษาจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ และนางสาวชนิกานต์ โปรณานันท์ รองกรรมการผู้จัดการ กลุ่มธุรกิจภาครัฐ การศึกษา และสาธารณสุข บริษัท ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย จำกัด ที่ได้มาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับแนวทางการขับเคลื่อนประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรม โดยในวงเสวนา ได้เห็นพ้องร่วมกันว่า ในการขับเคลื่อนประเทศสู่เศรษฐกิจดิจิทัลอย่างเป็นรูปธรรมนั้น “แพลตฟอร์มดิจิทัลแบบบูรณาการ” คือกลไกสำคัญที่ต้องเร่งพัฒนา โดยเฉพาะในยุคที่เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว และพฤติกรรมผู้บริโภคหันมาใช้บริการออนไลน์เป็นหลัก ด้านภาครัฐควรเน้นบทบาทสำคัญในการวางรากฐาน ทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐาน เช่น อินเทอร์เน็ตความเร็วสูงและเครือข่ายดาวเทียม การออกแบบระบบบริการสาธารณะที่ไม่ซ้ำซ้อน และการรวมบริการกว่า 4,000 รายการเข้าสู่แพลตฟอร์มเดียว เช่น “ทางรัฐ” และ “Biz Portal” ซึ่งช่วยให้ประชาชนและภาคธุรกิจเข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้น ในขณะที่ภาคการส่งออกยังได้รับการสนับสนุนผ่านระบบ “Thailand National Single Window” พร้อมกันนี้ ยุทธศาสตร์เศรษฐกิจดิจิทัล 20 ปี (2560–2580) ได้รับการดำเนินการต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งการสร้างคนดิจิทัล การส่งเสริมนวัตกรรม การยกระดับบริการภาครัฐ และการออกกฎหมายดิจิทัลที่สอดรับกับบริบทใหม่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้เศรษฐกิจดิจิทัลกลายเป็น “กลไกใหม่” ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน

ด้านภาคเอกชน เน้นย้ำว่า รัฐควรเปิดโอกาสให้มีการพัฒนาเทคโนโลยีร่วมกัน เช่น การใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและลดต้นทุน พร้อมเรียกร้องให้ภาครัฐพิจารณาปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัย และเปิดช่องทางเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างหน่วยงานต่าง ๆ อย่างมีมาตรฐาน แม้ประเทศไทยจะมีโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่เข้มแข็งและมีศักยภาพ แต่จากการจัดอันดับ Global AI Index 2024 พบว่าไทยยังเป็น “ผู้ตาม” ในการใช้ AI เทียบกับประเทศผู้นำในอาเซียนอย่างสิงคโปร์ นั่นจึงเป็นโจทย์สำคัญที่ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องร่วมมือกัน เพื่อเร่งยกระดับขีดความสามารถของประเทศในการแข่งขันในเวทีโลก เป็นต้น 

 

#DigitalThailand #เศรษฐกิจดิจิทัล #ThailandDigitalFuture #DEMinistry #ETDAThailand #AIเพื่อไทย #ยกระดับGDPไทย #ThailandSmartNation #MReportTH #IndustryNews

 

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH