ก.อุตฯ หนุน SME! ปล่อยกู้ 2.2 พันล้าน สร้างมูลค่าเพิ่ม 350 ล้าน

ก.อุตฯ หนุน SME ต่อเนื่อง! อนุมัติสินเชื่อทะลุ 2.2 พันล้าน สร้างมูลค่าเพิ่ม 350 ล้าน

อัปเดตล่าสุด 29 พ.ค. 2568
  • Share :

กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ โชว์ผลงานเด็ด ดันยอดอนุมัติสินเชื่อกว่า 2.2 พันล้านบาท ตอบสนองความต้องการเงินทุนของ SME ทุกมิติ ควบคู่กับโครงการพัฒนาศักยภาพที่สร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 350 ล้านบาท พร้อมเปิดรับ SME เข้าร่วมโครงการส่งเสริมพัฒนาอย่างครบวงจร 4 ด้าน ด้วยงบ 20 ล้านบาท มุ่งเป็นกลไกหลักช่วย SME ไทยให้รอดและเติบโตในสภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน

29 พฤษภาคม 2568 - นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยผลการดำเนินงานโครงการสินเชื่อและการส่งเสริมพัฒนาเอสเอ็มอีของกองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ ประจำปี พ.ศ. 2568 โดยระบุว่า ในช่วงที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทยต้องเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยภายนอก ทั้งแรงกดดันทางการค้าโลก และการชะลอตัวของเศรษฐกิจคู่ค้า ส่งผลให้ World Bank และ IMF ได้ปรับลดคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของไทยในปี 2568 ลง 

ซึ่งสถานการณ์ดังกล่าวส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ประกอบการ SME ไทย ทั้งในด้านต้นทุนที่สูงขึ้น การแข่งขันที่รุนแรง รายได้ที่ลดลง การขาดสภาพคล่อง และปัญหาหนี้เสียที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้ SME คือกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย การช่วยเหลือและสนับสนุนให้ SME สามารถเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็น โดยเฉพาะเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ เป็นสิ่งสำคัญเร่งด่วนที่ภาครัฐต้องดำเนินการเชิงรุก เพื่อป้องกันไม่ให้ภาคส่วนนี้ต้องหยุดชะงักหรือถดถอยอย่างถาวร

กองทุนพัฒนาเอสเอ็มอีตามแนวประชารัฐ กระทรวงอุตสาหกรรม เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ซึ่งตั้งขึ้นเพื่อสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำ เงื่อนไขยืดหยุ่น ควบคู่การให้คำปรึกษาแนะนำในการดำเนินธุรกิจ ผ่านกลไกการทำงานร่วมกับหน่วยงานในแต่ละจังหวัดที่ครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ โดยตั้งแต่ปี 2560 ถึงปี 2567 กองทุนได้อนุมัติสินเชื่อรวมกว่า 26,800 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการจำนวนกว่า 18,000 ราย ก่อให้เกิดการลงทุน การจ้างงาน และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจได้มากกว่า 80,000 ล้านบาท โดยผลการดำเนินงานในปีงบประมาณ 2568 กองทุนได้เปิดตัว 2 โครงการสินเชื่อใหม่ วงเงินรวม 1,900 ล้านบาท คือ (1) โครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 1,200 ล้านบาท และ (2) โครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) วงเงิน 700 ล้านบาท ซึ่งผู้ประกอบการให้ความสนใจและมีความต้องการด้านสินเชื่อจำนวนมาก กองทุนจึงได้ขยายกรอบวงเงินโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) เพิ่มเติมอีก 400 ล้านบาท โดยได้มีการอนุมัติสินเชื่อแล้ว จำนวนกว่า 2,200 ล้านบาท โดยคาดว่าสินเชื่อทั้งสองโครงการนี้จะช่วยต่อทุนและเพิ่มสภาพคล่องให้ SME สร้างเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นกว่า 10,000 ล้านบาท และรักษาการจ้างงานไว้ได้มากกว่า 5,000 อัตรา ทั้งนี้จากความสำเร็จของโครงการและผลตอบรับที่ดี กองทุนจึงมีแผนเปิดตัวสินเชื่อใหม่เพิ่มเติม จำนวน 2 โครงการ ภายในเดือนตุลาคมนี้ โดยสินเชื่อโครงการแรกจะมีเงื่อนไขใกล้เคียงกับโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถธุรกิจ (เสือติดปีก) ในปี 2568 สามารถกู้ได้ทั้งลูกค้าเดิมของกองทุนและลูกค้าใหม่ และอีกหนึ่งโครงการจะเป็นสินเชื่อเติมทุนหนุนธุรกิจ (Top Up) ซึ่งเป็นเงินทุนช่วยเหลือและสนับสนุนลูกหนี้สินเชื่อชั้นดี (บัญชีเกรด A) เพื่อนำไปใช้ในการลงทุน เพิ่มขีดความสามารถ นวัตกรรม ปรับปรุงเทคโนโลยีอุตสาหกรรม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ด้วยอัตราดอกเบี้ยพิเศษ กรอบวงเงินกว่า 2,800 ล้านบาท โดยอยู่ระหว่างยื่นของบประมาณในปีงบประมาณ 2569 

ทั้งนี้ ในครึ่งหลังของปี 2568 กองทุนยังคงเดินหน้าสานต่อความสำเร็จเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับเอสเอ็มอีไทยอย่างต่อเนื่อง โดยเตรียมพร้อมออกมาตรการพลิกฟื้นธุรกิจ เพื่อช่วยเหลือและบรรเทาภาระการชำระหนี้ให้กับลูกหนี้สินเชื่อของกองทุน ให้ได้รับการยกเว้นการชำระดอกเบี้ยเป็นระยะเวลา 12 เดือน เพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจ รวมทั้งเป็นการลดแนวโน้มการเป็นหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) 

นอกเหนือจากมาตรการด้านสินเชื่อ ในปี 2568 กองทุนยังได้ดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 2 โครงการ งบ 10 ล้านบาท ได้แก่ โครงการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตอย่างยั่งยืน และโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัล ซึ่งมุ่งเน้นการช่วยเอสเอ็มอีให้สามารถปรับปรุงกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก รวมถึงสามารถนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในกระบวนการทางธุรกิจเพื่อยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขัน ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจรวมกว่า 350 ล้านบาท

และกองทุนยังได้ทุ่มงบอีกกว่า 20 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการส่งเสริมและพัฒนาเอสเอ็มอี จำนวน 4 โครงการ ได้แก่

  • โครงการเสริมแกร่งการเงิน เพิ่มทุนหนุนธุรกิจ (สุขใจ): เน้น Financial Literacy และการเข้าถึงแหล่งทุน
  • โครงการยกระดับธุรกิจเพื่อการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน (เปิดใจ): เน้น Digital และ BCG ในอุตสาหกรรมศักยภาพ
  • โครงการพัฒนาฮาลาลไทย รับรองได้ ขายส่งออกชัวร์ (มั่นใจ): เน้นมาตรฐานฮาลาลและการขยายตลาดส่งออก
  • โครงการพลิกชีวิต ฟื้นธุรกิจ ปรับหนี้ให้อยู่รอด (สู้สุดใจ): มุ่งช่วยเหลือลูกหนี้กองทุนที่ประสบปัญหาหนี้สินให้ฟื้นฟูและกลับมาดำเนินธุรกิจได้

โดยผู้ประกอบการที่เข้าร่วมโครงการจะได้รับการบ่มเพาะและพัฒนาศักยภาพธุรกิจจากสถาบันเครือข่ายกระทรวงอุตสาหกรรม ที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะทาง ซึ่งจะเริ่มดำเนินการเปิดรับสมัครในช่วงเดือนมิถุนายน 2568 เป็นต้นไป และสำหรับตัวอย่างผลสำเร็จของสถานประกอบการที่กองทุนได้มีส่วนร่วมในการสนับสนุนด้านเงินทุนและการส่งเสริมพัฒนา ได้แก่ 

1. บริษัท บัตเตอร์ฟลาย ออร์แกนิค จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค เช่น นมโคแท้ออร์แกนิค โยเกิร์ตออร์แกนิค เครื่องดื่มน้ำนมจากพืช 

จุดเด่น : 

  • ได้รับรองมาตรฐานอาหารและผลิตภัณฑ์ออร์แกนิคของสหรัฐอเมริกา (USDA Organic : US Department of Agriculture) ซึ่งเป็นเจ้าแรกที่ได้รับมาตรฐานในอาเซียน 
  • ผลิตภัณฑ์เป็น Natural Product  ยกตัวอย่าง โยเกิร์ตที่มีจุลทรีย์มีชีวิตมากกว่าโยเกิร์ตตามท้องตลาด และไม่ใส่สารควบแน่น
  • ได้รับมาตรฐานฮาลาล, GHPs, HACCP

โครงการสินเชื่อหรือโครงการส่งเสริมและพัฒนา : 

  • ปี 2568 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องธุรกิจ (คงกระพัน) จำนวน 5 ล้านบาท เพื่อนำไปเป็นเงินทุนหมุนเวียนเสริมสภาพคล่องภายในกิจการ
  • เข้าร่วมโครงการพัฒนาธุรกิจด้วยดิจิทัลสู่การเปลี่ยนแปลงวิถีใหม่ (Digital Transformation) โดยได้รับการยกระดับการบริหารจัดการและแผนการลงทุนสำหรับการขยายโรงงานเป็นระบบกึ่งอัตโนมัติและระบบคลังสินค้าเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลภายในองค์กร 

ผลสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ : 

  • เพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต โดยเป็นการลดระยะเวลาในการผลิตสินค้าในโรงงาน

การต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต : 

  • มีแผนระยะยาวในการผลิตอาหารที่ดีต่อสุขภาพ (Health Land) เพื่อยกระดับผลิตภัณฑ์ให้เข้าสู่ตลาดในระดับโลก รวมทั้งมีแผนการขยายลูกค้าใหม่ เช่น การบินไทย ธุรกิจแม่และเด็ก เป็นต้น

2. บริษัท เค การ์เด้นท์ แอนด์ เฟนซ์ จำกัด จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง เช่น รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท้อ เหล็กเส้น

จุดเด่น : 

  • เป็นผู้ผลิตลวดเหล็กชุบสังกะสีอลูมิเนียมอัลลอยรายแรกในประเทศไทย ด้วยกรรมวิธีแบบจุ่มร้อน (Hot-dip Galvanization)
  • ประกอบธุรกิจและจำน่ายสินค้ากลุ่มวัสดุก่อสร้าง ได้แก่ รั้วตาข่าย รั้วสำเร็จรูปมาตรฐานยุโรป ฝาตะแกรงท่อ เหล็กเส้น และกรงตับไก่ ภายใต้แบรนด์ Euro Fence
  • ปัจจุบันธุรกิจมีแนวโน้มเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้น โดยได้มีการขยายตลาดและเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ เสาเข็มเหล็ก พัดลมระบายอากาศ พัดลมอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยในการประหยัดพลังงาน ลดค่าไฟฟ้า มีความทนทานสูง สามารถต่อตรงกับระบบโซล่าเซลล์ได้
  • ได้รับมาตรฐาน มอก. 934-2558 
  • กลุ่มลูกค้า ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง โรงงานอุตสาหกรรม และฟาร์มเลี้ยงสัตว์

โครงการสินเชื่อหรือโครงการส่งเสริมและพัฒนา : 

  • ปี 2563 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อ SME โตไว ไทยยั่งยืน (ปิดบัญชีแล้ว) โดยได้รับการช่วยเหลือจากกองทุน ในช่วงวิกฤตโควิด-19 เป็นการลงทุนซื้อเครื่องจักร ในวงเงิน 2.80 ล้านบาท เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต 
  • ในปี 2568 ได้รับสินเชื่อโครงการสินเชื่อเพื่อเพิ่มขีดความสามารถทางธุรกิจ (เสือติดปีก) วงเงิน 10 ล้านบาท เพื่อสมทบการซื้อเครื่องจักรเพิ่มเติม

ผลสำเร็จในการเข้าร่วมโครงการ:

  • ช่วยให้เกิดการขยายตลาดในกลุ่มลูกค้าใหม่และเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ ประกอบกับธุรกิจเริ่มมีการตอบรับที่ดีและยอดขายมีแนวโน้มเติบโตขึ้นกิจการ

การต่อยอดพัฒนาธุรกิจในอนาคต : 

  • นำสินเชื่อที่ได้ไปต่อยอดธุรกิจในการผลิตมอเตอร์พัดลมอุตสาหกรรม ที่ประหยัดพลังงาน มากกว่าร้อยละ 30 ซึ่งเป็นรุ่นใหม่ของโลก

“ผมเชื่อว่าโครงการสินเชื่อและโครงการส่งเสริมและพัฒนา SME ของกองทุน จะเป็นกลไกสำคัญที่ช่วยยกระดับ SME ไทยให้ปรับตัวและเติบโตอย่างแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายในสภาวะเศรษฐกิจยุคใหม่ และมีส่วนร่วมในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนควบคู่ชุนชนและสิ่งแวดล้อมต่อไป” ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าว

 

#SMEไทย #กองทุนพัฒนาSME #หนุนธุรกิจไทย #SoftLoanSME #BCGModel #SMEโตไว #SMETechUpgrade #กระทรวงอุตสาหกรรม 

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH