สมอ. ออกมาตรฐาน “หลอดไฟ LED” และ “ยางหล่อดอกซ้ำ” บังคับใช้ 29 มี.ค. และ 5 พ.ค. 65
สมอ. ควบคุมหลอดไฟ LED และยางหล่อดอกซ้ำสำหรับรถบรรทุก ต้องได้มาตรฐาน มอก. มีผลบังคับใช้ 29 มีนาคม 2565 และ 5 พฤษภาคม 2565 เตือนผู้ประกอบการทุกราย ก่อนทำ นำเข้า ต้องขออนุญาตจาก สมอ.
วันที่ 28 มีนาคม 2565 นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงอุตสาหกรรมให้ความสำคัญกับการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้กับภาคอุตสาหกรรม และการคุ้มครองประชาชนให้ปลอดภัยจากการใช้สินค้าที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน ทั้งที่ผลิตในประเทศและนำเข้า โดยกำหนดเป็นนโยบายสำคัญและได้มอบหมายให้สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม หรือ สมอ. ดำเนินการ เนื่องจากเป็นหน่วยงานหลักที่ดำเนินงานด้านการมาตรฐานของประเทศ ทั้งการกำหนดมาตรฐาน การควบคุมและกำกับติดตามการจำหน่ายสินค้าในท้องตลาดให้มีคุณภาพเป็นไปตามมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับประชาชน
“การดำเนินงานด้านการกำหนดมาตรฐานของ สมอ. มีบทบาทสำคัญโดยเฉพาะการคุ้มครองประชาชนที่ต้องได้รับการดูแลด้านความปลอดภัยและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันให้ผู้ประกอบการ จึงเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องพัฒนาควบคู่กันไป เพื่อให้การขับเคลื่อนภาคอุตสาหกรรมของประเทศ สามารถแข่งขันทางการค้าได้อย่างยั่งยืนและเกิดประโยชน์สูงสุดกับประชาชน ซึ่งผมได้กำชับกับสมอ. ให้เร่งรัดดำเนินการ โดยเฉพาะมาตรฐานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของประชาชนให้ประกาศเป็นสินค้าควบคุมเป็นอันดับแรก” นายสุริยะฯ กล่าว
- สมอ. แก้มาตรฐาน “เหล็กแผ่นเคลือบ” มอก.50 - มอก.2228 เตรียมยกเป็น "สินค้าควบคุม" ปีนี้
- ย้ำ! ผู้รับใบอนุญาต มอก. ต้องแสดง QR Code คู่เครื่องหมาย มอก. กม. บังคับใช้แล้ว ฝ่าฝืนปรับ 3 แสนบาท
- สมอ. เคาะแผนทำมาตรฐานปี’65 รับ S-curve, New S-curve, และมาตรฐานระบบเตือนภัยป้องกันการโจรกรรม
ด้าน นายบรรจง สุกรีฑา เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กล่าวเพิ่มเติมว่า สมอ. ดำเนินงานตามนโยบายท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมอย่างเคร่งครัด โดยประกาศควบคุมสินค้าที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนแล้วจำนวน 127 รายการ รวมถึงสินค้า 3 รายการ ที่กำลังจะมีผลบังคับใช้เร็วๆ นี้ ได้แก่ หลอดแอลอีดีเปลี่ยนทดแทนขั้วคู่ มอก.2779-2562 และหลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัว มอก.2780-2562 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 29 มีนาคม 2565 และยางหล่อดอกซ้ำสำหรับรถบรรทุก รถบัส และรถพ่วง มอก.2979-2562 จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5 พฤษภาคม 2565 นี้ด้วย
ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายที่จะทำ หรือนำเข้าสินค้าดังกล่าว ต้องได้รับอนุญาตจาก สมอ. ก่อน เพื่อดำเนินการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัย โดยสินค้าทุกชิ้นจะต้องแสดงเครื่องหมายมาตรฐานบังคับ คู่กับ QR code เพื่อให้ผู้บริโภคสามารถตรวจสอบข้อมูลผู้รับใบอนุญาตได้ หากฝ่าฝืนจะมีโทษตามกฎหมาย ผู้ทำหรือนำเข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี ปรับไม่เกิน 2 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ จำหน่ายสินค้าโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และแสดงเครื่องหมายมาตรฐานโดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
เลขาธิการ สมอ. กล่าวต่อว่า มาตรฐานหลอดแอลอีดีเปลี่ยนทดแทนขั้วคู่ ซึ่งโดยทั่วไปอาจเรียกว่า หลอดแอลอีดีชนิด T5, T8 หรือ หลอดแอลอีดีแบบยาว จะควบคุมเรื่องความปลอดภัยในขณะใช้งาน เพื่อป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด ควบคุมอุณหภูมิของขั้วหลอดในภาวะไฟฟ้าวิกฤติ และการติดไฟ เป็นต้น ขณะนี้มีผู้ยื่นขออนุญาตแล้วจำนวน 3 ราย เป็นผู้ทำ 1 ราย ผู้นำเข้า 2 ราย
ส่วนมาตรฐานหลอดแอลอีดีมีบัลลาสต์ในตัว เช่น หลอดแอลอีดีแบบขั้วเกลียว จะควบคุมเรื่องความปลอดภัยในขณะใช้งาน เพื่อป้องกันไฟรั่ว ไฟดูด ความแข็งแรงของเกลียวหมุน การทนความร้อนได้ ซึ่งมีผู้ยื่นขออนุญาตแล้วจำนวน 7 ราย เป็นผู้ทำ 1 ราย และผู้นำเข้า 6 ราย
สำหรับมาตรฐานยางหล่อดอกซ้ำ จะมีผลบังคับใช้วันที่ 5 พฤษภาคม 2565 เนื่องจากมีการนำยางล้อแบบสูบลมของรถบรรทุก รถบัส และรถพ่วง นำกลับมาหล่อดอกยางใหม่แล้ววางขายในท้องตลาด ซึ่งมีราคาถูกกว่ายางใหม่ค่อนข้างมาก จึงอาจเกิดความไม่ปลอดภัยต่อประชาชนในการนำไปใช้งาน แต่หลังจากที่ สมอ. ประกาศเป็นสินค้าควบคุมแล้ว ยางหล่อดอกซ้ำเหล่านี้ต้องผ่านการตรวจสอบคุณภาพและความปลอดภัยตามมาตรฐาน มอก. ก่อนนำมาวางจำหน่าย โดยจะต้องผ่านการทดสอบความทนทานของยางล้อ ทดสอบสมรรถนะในการรับน้ำหนัก และความสามารถในการทำความเร็วได้ตามความเร็วสูงสุดที่ระบุในแต่ละประเภท ซึ่งมาตรฐานฉบับนี้สอดคล้องกับข้อกำหนดทางเทคนิคยานยนต์ของสหประชาชาติ (UN Regulation No. 109) ครอบคลุมเฉพาะยางล้อสูบลมหล่อดอกซ้ำที่ถูกออกแบบสำหรับรถยนต์ 5 ประเภท ได้แก่
1. รถยนต์สำหรับขนส่งผู้โดยสาร มีที่นั่งมากกว่า 8 ที่นั่ง ไม่รวมคนขับ และมีน้ำหนักไม่เกิน 5 ตัน
2. รถยนต์สำหรับขนส่งผู้โดยสาร มีที่นั่งมากกว่า 8 ที่นั่ง ไม่รวมคนขับ และมีน้ำหนักมากกว่า 5 ตัน
3. รถยนต์สี่ล้อขึ้นไปและใช้สำหรับขนส่งสินค้า
4. รถพ่วงที่มีน้ำหนักมากกว่า 3.5 ตัน แต่ไม่เกิน 10 ตัน
5. รถพ่วงที่มีน้ำหนักมากกว่า 10 ตัน
ขณะนี้มีผู้ทำในประเทศยื่นขออนุญาตแล้วจำนวน 20 ราย สมอ. จึงขอแจ้งไปยังผู้ประกอบการที่ทำสินค้าดังกล่าว ให้เตรียมตัวดำเนินการตามมาตรฐาน ทั้งที่ทำในประเทศ และนำเข้า เพราะท่านจะต้องขออนุญาตจาก สมอ. ก่อนทำหรือนำเข้า พร้อมทั้งให้เตรียมตัวยื่นขอใบอนุญาตก่อนวันที่มาตรฐานจะมีผลบังคับใช้ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถติดต่อได้ที่ สมอ. หรือจะยื่นขอ มอก. ออนไลน์ผ่านระบบ E-license ได้ที่ https://itisi.go.th/e-license/ ตลอด 24 ชั่วโมง” เลขาธิการ สมอ. กล่าวทิ้งท้าย
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- 10 ตัวอย่างที่นำ 5G มาใช้งานได้อย่างน่าสนใจและประสบผลสำเร็จ
- เทคโนโลยีแห่ง G สู่ 5G เครือข่ายไร้สาย
- แบตเตอรี่ลิเธียมไอออนคืออะไร ตลาดจะก้าวไปในทางไหนในปี 2030?
- เทคโนโลยีสำหรับโลจิสติกส์ ทางเลือกสู่ทางรอด ปรับก่อนโดนเบียด
- นิยามใหม่ SME ใช้ “รายได้” เป็นตัวกำหนด
- ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ปี 2564
- กลยุทธ์การ PR และ Communication ในยุคดิจิทัล
- ปัญหาตู้คอนเทนเนอร์ขาดแคลน เจาะลึกตู้สินค้าหายไปไหน?
- เทรนด์การทำงานในอนาคต หลังไทยติดโควิด นานเกือบสองปี!
- FTA ไทย มีกี่ประเทศ พอหรือไม่ ทำไมต้องคิดเรื่อง CPTPP
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH