ดัชนี SMESI เดือนธันวาคม 2567 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4

ดัชนี SMESI เดือนมากราคม 2567 ลดเหลือ 53.1 ธุรกิจชะลอตัว แต่ท่องเที่ยวยังหนุน – คาดสงกรานต์ดันดัชนีพุ่ง!

อัปเดตล่าสุด 4 มี.ค. 2568
  • Share :

ดัชนี SMESI เดือนมกราคม 2568 ลดลงอยู่ที่ 53.1 สะท้อนภาคเกษตร การผลิต และการค้าชะลอตัว ขณะที่ภาคบริการยังเติบโตจากการท่องเที่ยวและมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย ทั้งนี้ คาดการณ์อีก 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีมีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น รับแรงหนุนจากเทศกาลสงกรานต์และมาตรการเสริมศักยภาพธุรกิจ SME.

Advertisement

4 มีนาคม 2568 - นางสาวปณิตา ชินวัตร  รองผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม  รักษาการแทนผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) ประจำเดือนมกราคม 2568

เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 พบว่า ค่าดัชนีอยู่ที่ระดับ 53.1 ลดลงจากระดับ 53.9 ปัจจัยหลักมาจากราคาสินค้าที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง เมื่อพิจารณาระดับความเชื่อมั่นรายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคธุรกิจการเกษตรมีแนวโน้มชะลอตัวลงอย่างชัดเจน ขณะที่ภาคการผลิตยังเผชิญแรงกดดันจากคำสั่งซื้อที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง สำหรับภาคการค้ายังคงไม่ได้รับอานิสงส์เชิงบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เช่น โครงการเงินดิจิทัล 10,000 บาท (ระยะที่ 2) ส่งผลให้ยอดขายของ SME ในเดือนนี้ ยังได้รับผลกระทบในวงจำกัด 

นอกจากนี้ มาตรการ Easy e-Receipt 2.0 พบว่า มีเพียงผู้ประกอบการขนาดกลาง และ OTOP บางส่วนเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการได้ ทำให้การดำเนินมาตรการยังไม่ครอบคลุมในทุกภาคธุรกิจแม้ให้สิทธิ์ใช้กับกลุ่ม OTOP หรือสินค้าและบริการจากชุมชน แต่ยังมีผู้ประกอบการกลุ่มนี้จำนวนมากที่ยังไม่สามารถเข้าร่วมโครงการได้ 

อย่างไรก็ตาม ระดับความเชื่อมั่นในภาคบริการยังคงใกล้เคียงกับเดือนก่อนหน้า โดยมีปัจจัยหนุนจากกิจกรรมด้านการท่องเที่ยวที่ยังคงดำเนินต่อเนื่องจากช่วงเทศกาลปลายปี โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคใต้และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของประเทศ เมื่อพิจารณาตามองค์ประกอบของดัชนี พบว่า เกือบทุกองค์ประกอบของดัชนีปรับตัวลดลง โดยองค์ประกอบด้านกำไร ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 57.9 จากระดับ 59.4 ซึ่งสอดคล้องกับการลดลงขององค์ประกอบดัชนีด้านคำสั่งซื้อโดยรวมและด้านปริมาณการผลิต/การค้า/การบริการ อยู่ที่ระดับ 62.0 และระดับ 57.5 จากระดับ 63.3 และ 58.5 ตามลำดับ ซึ่งมีสาเหตุจากกำลังซื้อที่ชะลอลงและจำนวนยอดขายที่เพิ่มขึ้นในช่วงเวลาก่อนหน้า สำหรับองค์ประกอบด้านการลงทุนโดยรวมปรับตัวลดลงอยู่ที่ระดับ 51.4 จากระดับ 52.2 และด้านต้นทุนปรับลดลงอยู่ที่ระดับ 39.3 จากระดับ 39.8 ขณะที่องค์ประกอบด้านการจ้างงาน ปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ระดับ 50.4 จากระดับ 50.3

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) รายภาคธุรกิจ พบว่า ภาคการผลิต อยู่ที่ระดับ 51.3 หดตัวจากระดับ 52.6 จากเดือนก่อนหน้า มีสาเหตุจากจำนวนยอดขายธุรกิจที่เพิ่มขึ้นสูงในช่วงเวลาก่อนหน้าโดยเฉพาะในกลุ่มอาหารและเสื้อผ้า แม้จะอยู่ในช่วงเวลาการทำงานปกติ แต่กลุ่มเหล็ก พลาสติก และยาง ยังไม่สามารถขยายกำลังการผลิตได้ เนื่องจากสถานการณ์เศรษฐกิจมีแนวโน้มที่ไม่แน่นอน ทำให้ผู้ประกอบการระมัดระวังการลงทุน ภาคการค้าอยู่ที่ระดับ 52.0 ลดลงจากระดับ 53.3 จากเดือนก่อนหน้า โดยหดตัวตามกำลังซื้อที่ชะลอลง หลังจากเร่งตัวในเดือนก่อนหน้า ขณะที่ปัจจัยกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ส่งผลชัดเจน ทั้งโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านผู้สูงอายุ ที่เริ่มช่วงสิ้นเดือน และโครงการ Easy e-Receipt 2.0  ซึ่งยังเป็นประโยชน์กับธุรกิจขนาดกลางขึ้นไป ภาคการบริการอยู่ที่ระดับ 55.0 เพิ่มขึ้นจากระดับ 54.8 ซึ่งทรงตัวต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ได้แรงหนุนจากภาคท่องเที่ยวที่ยังคึกคักหลังเทศกาล ส่งผลให้ธุรกิจยังมีผู้ใช้บริการต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ เช่น ภาคใต้ ภาคตะวันออก และเชียงใหม่ ภาคธุรกิจการเกษตรอยู่ที่ระดับ 53.4 ลดลงจากระดับ 58.6 โดยหดตัวลงอย่างชัดเจนจากปริมาณผลผลิตที่ลดลง หลังการเก็บเกี่ยวพืชไร่หลายชนิด แม้ราคาสินค้ายังอยู่ในระดับสูง แต่กำไรของผู้ประกอบการไม่ได้เพิ่มขึ้นมากนัก เนื่องจากมีการทยอยขายสินค้าล่วงหน้าแล้ว

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) รายภูมิภาค ประจำเดือนมกราคม 2568 เมื่อเปรียบเทียบกับเดือนธันวาคม 2567 พบว่า 
ภาคตะวันออก ระดับความเชื่อมั่นอยู่ที่ 54.2 สามารถทรงตัวได้ดีเมื่อเปรียบเทียบจากเดือนก่อนหน้าและดีกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยได้รับแรงหนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาอย่างต่อเนื่องหลังเทศกาลปีใหม่ รวมถึงอานิสงส์จากการเทียบท่าของเรือรบสหรัฐฯ ที่ช่วยกระตุ้นกิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่ โดยเฉพาะภาคการค้า การท่องเที่ยว และบริการอาหารและเครื่องดื่ม อย่างไรก็ตาม ภาคธุรกิจการเกษตรยังหดตัว เนื่องจากผลผลิตหลัก เช่น ทุเรียน ยังไม่เริ่มออกสู่ตลาด 

ภาคใต้ อยู่ที่ระดับ 53.8 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 54.0 กิจกรรมทางเศรษฐกิจในพื้นที่อยู่ในระดับทรงตัว โดยภาคบริการยังคงคึกคักจากการท่องเที่ยวที่ส่งผลต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ประกอบการในพื้นที่เผชิญแรงกดดันจากต้นทุนขนส่งที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้น กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันและกำลังซื้อในบางกลุ่มธุรกิจ 

ภาคกลาง อยู่ที่ระดับ 51.9 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.2 ภาคธุรกิจชะลอตัวลง โดยเฉพาะภาคการผลิต เช่น พลาสติกและโลหะ ที่เผชิญแรงกดดันจากการแข่งขันที่ลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อยังได้รับอานิสงส์จากรายได้ภาคธุรกิจการเกษตรที่อยู่ในระดับสูง และกลุ่มธุรกิจการค้าจักรยานยนต์และบริการซ่อมบำรุง 

ภาคเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.8 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 54.5 ภาพรวมเศรษฐกิจในพื้นที่ชะลอตัวจากกำลังซื้อที่แผ่วลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ยังไม่ส่งผลเต็มที่ ขณะเดียวกัน สภาพอากาศที่แปรปรวนเพิ่มแรงกดดันต่อภาคธุรกิจการเกษตร แม้บางจังหวัด เช่น เชียงใหม่และเชียงราย จะยังได้รับอานิสงส์จากการท่องเที่ยวและการใช้จ่ายช่วงต้นเดือน 

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ อยู่ที่ระดับ 53.8 ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 54.8 กำลังซื้อในพื้นที่ชะลอตัวลง หลังจากแรงหนุนช่วงปีใหม่จากจำนวนแรงงานที่เดินทางกลับภูมิลำเนาเริ่มลดลง ส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการค้าอย่างไรก็ตาม ธุรกิจภาคการก่อสร้างในจังหวัดนครราชสีมาและจังหวัดบุรีรัมย์ ยังได้แรงหนุนจากโครงการลงทุนภาครัฐที่เดินหน้าต่อเนื่อง 

สำหรับกรุงเทพฯ และปริมณฑล อยู่ที่ระดับ 51.7 ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.3 ระดับความเชื่อมั่นปรับลดลงชัดเจน แต่ยังอยู่สูงกว่าค่าฐานระดับความเชื่อมั่นที่ 50 เนื่องจากกิจกรรมเศรษฐกิจเร่งสูงขึ้นในเดือนก่อนหน้า ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ส่งผลที่ชัดเจนนัก นำไปสู่การลดลงของระดับความเชื่อมั่นในทุกภาคธุรกิจ

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME (SMESI) คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้า พบว่า ระดับความเชื่อมั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 54.9 โดยได้รับแรงหนุนจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงเทศกาลมหาสงกรานต์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อ ปริมาณการผลิต และผลกำไรของภาคธุรกิจในระยะสั้น นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณการลงทุนที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเฉพาะการขยายหน้าร้านชั่วคราวในพื้นที่จัดงานเทศกาล อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการลงทุนระยะยาวและการจ้างงานยังไม่ฟื้นตัวอย่างเด่นชัด

สิ่งที่ SME ต้องการความช่วยเหลือจากทางภาครัฐคือมาตรการช่วยลดต้นทุน โดยเฉพาะราคาวัตถุดิบอาหารที่เพิ่มขึ้นสูงต่อเนื่องท่ามกลางภาวะเงินเฟ้อที่ยังอยู่ในระดับสูงและยังส่งผลต่อการทำกำไรของธุรกิจ รวมถึงมาตรการกระตุ้นการใช้จ่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศและมีผลกระทบเป็นวงกว้าง การเพิ่มช่องทางและโอกาสในการเข้าถึงความรู้ให้กับผู้ประกอบการในทุกภาคส่วนตามที่ต้องการจะเรียนรู้ให้การเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย และการเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่สอดคล้องกับความต้องการของ SME ในแต่ละขนาดธุรกิจ 

สำหรับ สสว. ยังมีโครงการหรือนโยบายที่ช่วยเหลือผู้ประกอบการเพื่อช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจ เช่น โค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านที่คอยให้คำปรึกษากับผู้ประกอบการที่ต้องการความช่วยเหลือ ผ่าน https://coach.sme.go.th/ หรือ Application ‘SME Connext’ ที่รวบรวมองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมถึงบริการต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการ หรือโครงการส่งเสริมผู้ประกอบการผ่านระบบ BDS (Business Development Service) ที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการในการช่วยเพิ่มศักยภาพของธุรกิจ เช่น การบริการตรวจสารสำคัญต่าง ๆ ในผลิตภัณฑ์เพื่อนำไปสู่การขอใบรับรองมาตรฐาน เป็นต้น ทั้งนี้ สามารถสอบถามรายละเอียดหรือข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ให้บริการ SME ครบวงจรซึ่งตั้งอยู่ในทุกจังหวัดทั่วประเทศ หรือที่ สสว. Call Center โทร. 1301

 

#ดัชนี SME #ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME #รายงานสถานการณ์ SME ส สว #ดัชนีชี้วัดภาวะเศรษฐกิจ #ดัชนีคำสั่งซื้อ SME #ดัชนีการผลิต SME #ดัชนีการค้า SME #ดัชนีการบริการ SME #ดัชนีการลงทุน SME #ดัชนีกำไร SME #ดัชนีการจ้างงาน SME

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH