หอการค้าฯ พบ 'แพทองธาร' เสนอตั้งเป้าดัน GDP โตเฉลี่ย 3-5% พร้อม 3 เรื่องเร่งด่วน
นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำคณะฯ เข้าพบแสดงความยินดีและหารือกับนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เสนอตั้งเป้าดัน GDP โตเฉลี่ย 3-5% ต่อปี และแนวทางแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศไทย อาทิ การสร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ การกระตุ้นเศรษฐกิจ และการพัฒนาเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
23 สิงหาคม 2567 นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย นำคณะฯ เข้าพบแสลงความยินดีกับนางสาวแพรทองธาร ชินวัตร ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คนที่ 31 เมื่อวันที่ 18 สิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมทั้งหารือถึงประเด็นสำคัญในการเร่งสร้างความเชื่อมั่นและแก่ไขปัญหาเศรษฐกิจไทย ณ อาคารชินวัตรทาวน์เวอร์ 3 ถนน วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ โดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและคณะฯ กลัวว่า การหารือร่วมกันในครั้งนี้ถือเป็นโอกาลที่ดีที่ได้รับฟังข้อเสนอจากภาคเอกชน วันนี้ประเทศไทยจำเป็นต้องมีความเชื่อมั่น ชัดเจน ซึ่งส่วนนี้จะเป็นกรอบในการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและเอกชน โดยเน้นย้าการปลดและลดหนี้ร่วมกัน ด้วยวิธีการลดส่วนต่างของดอกเบี้ยและจัดการหนี้นอกระบบ การจัดตั้งกองทุนแก้ไขปัญหาหนี้ การจัดการเรื่อง Anย-dumping และสำคัญคือการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวตามเป้าหมาย Net zero ที่ไทยประกาศไว้
นายสนั่น อังอุบลกุล กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศในในปัจจุบันกำลังเผชิญกับความท้าทายและป้ญหาหลากหลายมิติ หอการค้าฯ ได้รับระดมความเห็นจากเครือข่ายเอกชนทั่วประเทศโดยมี 3 เรื่องเร่งด่วนที่ภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลเร่งดำเนินการ 1) การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ ทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว 2) การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs และ 3) การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตไนอนาดดอย่างยั่งยืน ดังนี้
1. สร้างความเชื่อมั่นให้กับประเทศ
แผนงานเร่งด่วนระยะสั้น ได้แก่
1) กระจายงบประมาณ (De-Centralized) เร่งเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 ให้กระจายไปทุกภูมิภาค และให้ความสำคัญกับจัดทำงบประมาณปี 68 ให้แล้วเสร็จตามกรอบระยะเวลาที่กำหนด ไม่ให้ยืดเยื้อเหมือนในปีที่ผ่านมา พร้อมทั้งกระตุ้นให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เร่งใช้จ่ายงประมาณที่มีอยู่ในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างรวดเร็ว
2) การกระตุ้นเศรษฐกิจไปยังประชาชน 3 กลุ่ม โดยแยกวิธีการให้เหมาะสม ได้แก่ (1) มุ่งเป้ากระตุ้นเศรษฐกิจไปยังกลุ่มเปราะบาง เป็นสิ่งเร่งด่วนก่อน เพื่อให้กลุ่มนี้มีกำลังซื้อทันที โดยใช้ Plattorm ภาครัฐที่มีอยู่หรือพิจารณาแจกแบบเงินสด เพื่อให้ทันต่อความต้องการของประชาชน (2) ประชาชนกลุ่มที่ยังพอมีกำลังซื้อ สามารถดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจในลักษณะโครงการคนละตรึ่งช่วยเพิ่มกำลังซื้อ โดยรัฐบาลไม่จำเป็นต้องใช้งบประมาณมาก (3) สำหรับกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง สามารถออกมาตรการเพื่อดึงการจับจ่ายใช้สอยให้เม็ดเงินเข้าสู่ระบบเพิ่มขึ้น เช่น มาตรการ Easy e-Receipt และมาตรการทางภาษีอื่น ๆ โดยรัฐไม่ต้องใช้งบประมาณ
3) มาตรการช่วยเหลือและเยียวยา ได้แก่ (1) ลดค่าใช้จ่ายทั้งการลดคำไฟฟ้า ลดค่าน้ำมันตรึงราคาสินค้าที่จำเป็น (2) การพิจารณาลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง (3) มาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ตามแต่ละประเภทให้ชัดเจน อาทิ ลูกหนี้ชั้นดี ที่มีวินัยในการชำระสม่ำเสมอ หรือลูกหนี้ที่เกิดจากการดำเนินธุรกิจ เช่น เช่าซื้อรถเพื่อมาประกอบธุรกิจ รัฐบาลอาจมีมาตรการลักษณะส่วนลดค่าดอกเบี้ย (4) สถาบันการเงินต่างๆ ควรผ่อนผันด่าปรับการจ่ายหนี้ล่าช้า เพื่อบรรเทาภาระของประชาชน (5) สำหรับการจัดการสภาพคลลมมผู้ประกอบการ จับปันต้องปรับปรับารชำระหนี้และจัดการพนี้ของภาครัฐและธุรกิจขนาดใหญ่กับ SMEs โดยปรับปรุงเงื่อนไขการชำระเงินค่าสินค้าให้รวดเร็ว รวมถึงการนำเอาเอกสารการสั่งซื้อ ส่งมอบสินค้าไปทำ supply chain financing จะทำให้กระแสเงินสดของ SMEs ดีขึ้น
4) กระจายอำนาจ ได้แก่ (1) มีมาตรการทางภาษีเพิ่มเติม สำหรับการลงทุนในเมืองที่มีศักยภาพ ซึ่งนอกจากเป็นเมืองนำเที่ยวแล้วยังต้องเป็นจังหวัดนำร่องที่ต้องปลดล็อดศักยภาพการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการกระตุ้นเศรษฐกิจท้องถิ่น รวมถึงการส่งเสริมการใช้วัตถุดิบภายในประเทศ (Local content) ไห้มากขึ้น (2) สานต่อโครงการที่ หอการค้าฯ ร่วมกับรัฐบาลชุดก่อนยกระดับเมืองสู่เมืองหลัก โดยมีเป้าหมาย 10 จังหวัดทั่วประเทศ
5) ปรับปรุงกฎระเบียบที่มีอยู่ ให้เอื้อต่อการแข่งขันของกาดธุรกิจ
แผนงานระยะกลางและยาว ได้แก่
1) เน้นการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐและกาลเอกชน โดยาศับกลใกที่มีอยู่ที่มีอยู่ทั้ง กรอ.กลาง, กรอ.กลุ่มจังหวัดและจังหวัด เช่นเดียวกับ Partnership Model ในต่างประเทศ ในรูปแบบ Team Thailand Plus โดยเฉพาะโครงการ YPC : Young Public Private Collaboration ที่แต่ละจังหวัดรับความร่วมมือจากทางผู้ว่าราชการจังหวัดเชื่อมโยงการทำงานและสร้างเครือข่ายคนรุ่นไหม่ทั้งภาครัฐและเอกชนในแต่ละจังหวัด
2) เน้นการสื่อสารนโยบายเศรษฐกิจให้ชัดเจน เพื่อให้ประชาชนและภาคธุรกิจรับรู้และเกิดความมั่นใจ
3) สำหรับการวัดผลสำเร็จด้านเศรษฐกิจ เอกชนเห็นว่าควรตั้งเป้า GDP ประเทศ ไม่ต่ำ 3 -5% โดยส่งเสริมการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รัฐบาลเสมือนเซลส์แมนเปิดการขาย และจำเป็นต้องปิดการขายให้ได้ ซึ่งต้องมีคณะกรรมการติดตามและประเมินผลความสำเร็จอย่างใกล้ชิด นอกจากนี้ ควรใช้ Ease of Doing Business Index เป็นอัชนิวัดผลการปรับปรุงกฎระเบียบในการทำธุรกิจของประเทศ ตลอดจนมีมาตรการ กฎระเบียบ หรือกฎหมาย ที่สอดรับกับแนวทาง SDGs เพื่อให้เกิดการยอมรับจากนานาชาติ
2. การเร่งสร้างความสามารถในการแข่งขันของผู้ประกอบการผ่านกลยุทธ์ ผลักดัน ตั้งรับ จับมือ ช่วยให้สินค้าไทยแข่งขันกับสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ ได้แก่
ผลักดัน - นโยบาย E-Commerce ของชาติ และการศึกษาผลกระทบของสินค้าจีนที่ทะลัก เข้ามาในประเทศไทยอย่างจริงจัง ลงรายละเอียดรายอตสาหกรรม รวมถึงใช้ Data Driven ส่งเสริมสินค้าไทยใน Plattorm E-Commerce ควบดไปกับการผลักดันสินค้าไทยออกไปในต่างประเทศให้มากขึ้น โดยใช้รูปแบบบริษัทตัวกลางทำหน้าที่ช่วยเหลือ SMEs ไทย ที่มีสินค้าดีมีคุณภาพ หาช่องทางเข้าไปจำหน่ายใน Plattorm ต่างๆ นอกจากนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องศึกษาสิทธิประโยชน์และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ของแต่ละประเทศ รวมถึงเร่งเจรจา FTA พร้อมกำหนดประเทศยทธศาสตร์ ซึ่งสินค้าไทยมีโอกาสขยายตลาดใหม่ได้ในประเทศอินเดีย บราซิล และแมคชิโก โดยเฉพาะ Soft Power ที่จะเป็นส่วนช่วยเพิ่มมูลค่าสินค้าและบริการไทย ตลอดจนสร้างนักรบดิจิทัล-นักรบ E-Commerce ด้วยการเน้นหลักสูตรใหม่ๆ ทั่วโลก
ตั้งรับ -จัด Priorty สินค้าบางประเภทของไทย ที่จำเป็นต้องมีมาตรการปกป้องเพื่อใช้มีที่ยืนและแข่งขันได้ ภายใต้ความเป็นธรรม และใช้เป็นมาตรฐานอย่างเท่าเทียมกับประเทศอื่น ๆ พร้อมทั้งส่งเสริม SMEs ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มาตรฐานสากล ไม่แข่งขันด้านราคากับจีนเพราะ Economies of Scale รวมถึงมีการเพิ่มมาตรการด้านการลงทุน เน้นบังคับใช้ Local Content มาตรการควบคุมระบบชำระเงิน Payment ต่างชาติ ให้เข้าสู่ระบบที่ถูกต้องและอยู่ภายใต้การกำกับของธนาคารแห่งประเทศไทย และการจัดเก็บภาษี E-Commerce ต่างชาติ
จับมือ - ส่งเลริมให้มีการลงทุนร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการไทยกับผู้ประกอบการต่างชาติ (Joint Venture) และให้มีมาตรการส่งเสริมการลงทุนที่มีประสิทธิภาพ สำหรับผู้ที่จะลงทุนในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นประโยชน์และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับไทย ขณะเดียวกัน รัฐบาลจำเป็นต้องสร้างกลไกการทำงานร่วมกับรัฐบาลจีน เพื่อช่วยเข้มงวดมาตรการฐานและคุณภาพของสินค้าที่นำเข้า
3. การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาดตอย่างยั่งยืน ได้แก่
1) รักษาโมเมนตั้มในธุรกิจที่ประเทศไทยยังแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ทั้งเรื่อง Food Torism Wellness และ Logistics ที่รัฐบาลได้วางแผนไปสู่การเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค รวมถึงเร่งดึงดูลอุตสาหกรรมใหม่ เช่น ด้านดิจิทัล EV Car และส่งเสริมเรื่องการ Connectivity ในภูมิภาค เช่น รถไฟฟ้าความเร็วสูง เพื่อสร้าง S-Curve ของเศรษฐกิจไทย
2) การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมใหม่ของไทย ส่งเสริมรูปแบบการเรียน STEM Educaton เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของตลาดแรงงานทักษะสูง และการสร้าง Learning Center เปลี่ยนแปลงบทบาทของครู จาก Center of Knowledge ไปเป็น Facilitator ให้เด็กและคนรุ่นไหม่ได้เรียนรู้ และค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติมตามความสนใจ โดยภาคเอกชนพร้อมมีส่วนในการจัดทำฐานความรู้ Learning Center ออกแบบ curriculum ร่วมกับมหาวิทยาลัย นอกจากนี้ ควรจัดทำ Internship แบบ open ระหว่างเรียนที่สามารถเก็บเป็น Crodit จะช่วยให้สามารถพัฒนาคนได้ตรงความต้องการของภาคธุรกิจ
3) ยกระดับโครสร้างพลังงานดั้งเติมสู่พลังรานสีเขียว โดยกำหนดเป้าหมายและนโยบายที่ชัดเจนในการเพิ่มสัดส่วนของพลังงานหมุนเวียน ให้เป็นสัดส่วนหลักในการผลิตไฟฟ้าระบบ Carbon Credit Trading และมีมาตรการจูงใจเพื่อส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมนำเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพมาใช้เช่น การให้สิทธิพิเศษทางภาษีสำหรับโดรงการพลังงานหมนเวียน และการกำหนดและบังคับใช้มาตรฐานสำหรับการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจัง รวมถึงส่งเสริมการลงทนทั้งภาครัฐและเอกชนในโดรงสร้างพื้นฐานพลังงานสีเขียว เช่น โรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ การจัดเก็บพลังงาน (Energy Storage) ฯลฯ
"ข้อเสนอระยะเร่งด่วนนี้จะช่วยทำให้ GDP ของไทยกลับมาเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3 - 5% ต่อปี โดยหอการค้าไทยและเครือข่ายสมาชิกทั่วประเทศพร้อมสนับสนุนและทำงานร่วมกับรัฐบาลอย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้ประเด็นข้อเสนอทางเศรษฐกิจเหล่านี้สามารถขับเคลื่อนและเห็นผลเป็นรูปธรรม" นายสนั่น กล่าวทิ้งท้าย โดยการประชุมดังกล่าวฯ มีนายพิชัย ชุณหวชิร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง นายเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และนายแพทย์พรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เข้าร่วมประชุม
บทความยอดนิยม 10 อันดับ
- ยอดขายรถยนต์ 2566
- คาร์บอนเครดิต คือ
- อบรมรถยนต์ไฟฟ้า 2567
- Apple ครองตลาดสมาร์ทโฟนพรีเมียมในปี 2023
- การเปลี่ยนแปลงของเครือข่ายไร้สาย 5G
- ยอดจดทะเบียนรถยนต์ไฟฟ้า 2566
- สถิติส่งออกกลุ่มยานยนต์และชิ้นส่วนไทยปี 2566
- เทคโนโลยีในงานโลจิสติกส์ มีอะไรบ้าง
- กฎหมาย ปล่องระบาย อากาศ
- solid state battery คือ
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th
Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH