ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือน ก.ย.63 ปรับเพิ่มขึ้น จากมาตรการภาครัฐและภาวะเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME เดือนกันยายน 2563 ปรับเพิ่มขึ้น โดยเป็นผลจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยว รวมไปถึงภาวะเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว โดยมีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในทุกภูมิภาค เนื่องจากประชาชนปรับตัวและดำเนินชีวิตเป็นปกติมากขึ้น แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตและผลกระทบต่อการระบาดรอบใหม่ แต่ผลกระทบคาดว่าจะอยู่ในวงจำกัด และไม่รุนแรงเท่ากับช่วงวิกฤตก่อนหน้า
นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขขนาดกลางและขนาดย่อม เปิดเผยรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ประจำเดือนกันยายน 2563 ว่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับเพิ่มขึ้นจาก เดือนสิงหาคม 2563 ที่ระดับ 51.2 มาอยู่ที่ระดับ 52.9 โดยปรับตัวเพิ่มขึ้นอีกครั้งหลังจากลดลงเล็กน้อยในเดือน ที่ผ่านมา เนื่องจากมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ โดยเฉพาะกลุ่มการท่องเที่ยวและสาขาที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งบริษัทจำหน่ายตั๋วเดินทาง โรงแรมและที่พัก ร้านอาหาร และบริการรถเพื่อท่องเที่ยว ทำให้ธุรกิจปรับตัวดีขึ้น อย่างค่อยเป็นค่อยไป ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจในประเทศกำลังฟื้นตัว จากการขยายตัวของกำลังซื้อในทุกภูมิภาค เนื่องจากประชาชนสามารถปรับตัวและดำเนินชีวิตได้เป็นปกติมาก ขึ้น อีกทั้งการลดลงของความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคต ส่งผลให้ความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ SME ปรับตัวดีขึ้นทั้งในปัจจุบันและอนาคต
ปัจจัยที่ส่งผลดัชนีความเชื่อมั่นฯ ปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากองค์ประกอบด้านคำสั่งซื้อ ปริมาณการผลิต การค้าและการบริการ กำไร การลงทุน และการจ้างงาน ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 56.8 57.9 56.3 52.1 และ 49.8 ตามลำดับ ส่วนองค์ประกอบด้านต้นทุน ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 44.4 โดยเป็นผลจากราคาวัตถุดิบและสินค้าหลายรายการเพิ่มขึ้น
โดยภาคการผลิต ภาคการค้า และภาคการบริการ มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นฯ ในเดือนนี้เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 53.9 52.6 และ 52.6 ตามลำดับ โดยเฉพาะสินค้าและบริการที่จำเป็น อาทิ อาหารและเครื่องดื่ม เสื้อผ้าและสิ่งทอ รวมไปถึงกลุ่มการท่องเที่ยวที่ได้อานิสงส์จากการกระตุ้นการท่องเที่ยวภายในประเทศของภาครัฐ เช่น บริษัทจำหน่ายตั๋วสายการบินและเหมาทัวร์ โรงแรมและที่พัก ร้านอาหาร และบริการรถเช่าเพื่อท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ธุรกิจท่องเที่ยวที่เน้นนักท่องเที่ยวต่างชาติยังคงซบเซาต่อเนื่อง และยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวตลอดปลายปี 2563
ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของผู้ประกอบการ SME ทุกภูมิภาคปรับตัวเพิ่มขึ้น คือ เขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ปัจจุบันอยู่ที่ 51.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 48.8 จากการขยายตัวของธุรกิจกลุ่มค้าปลีก โดยเฉพาะการค้าอุปโภค/บริโภค ทั้งแบบค้าปลีกสมัยใหม่ (modern trade) และแบบดั้งเดิม และดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคใต้ ปัจจุบันอยู่ที่ 54.0 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.0 เป็นผลจากมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวของภาครัฐและมาตรการวันหยุดยาว ทำให้เกิดการเดินทาง และจับจ่ายใช้สอยในกลุ่มการท่องเที่ยวในประเทศและสาขาที่เกี่ยวเนื่อง ประกอบกับผลของกำลังซื้อภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้นจากราคายางพาราที่เพิ่มสูงขึ้น แต่ยังมีข้อจำกัดเรื่องกำลังซื้อจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ยังไม่ฟื้นตัว นอกจากนี้สาขาการก่อสร้างและการค้าวัสดุก่อสร้าง มีการหดตัวเล็กน้อยจากปัจจัยฤดูกาล
ส่วนดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคกลาง ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 55.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 53.5 เป็นผลจากราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น โดยเฉพาะราคาข้าวเปลือก ทำให้กำลังซื้อในภาคการเกษตรปรับตัวดีขึ้นส่งผลดีต่อสินค้าและบริการกลุ่มอุปโภค/บริโภค รวมไปถึงสินค้าคงทน เช่น รถจักรยานยนต์ ดัชนีความเชื่อมั่นฯของภาคตะวันออก ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 51.3 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 49.8 โดยมีการขยายตัวในหลายธุรกิจ โดยเฉพาะกลุ่มท่องเที่ยวในจังหวัดใกล้กรุงเทพฯ อาทิ ชลบุรี และระยอง ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 52.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 50.8 จากการเพิ่มขึ้นของการจับจ่ายใช้สอยในช่วงวันหยุดยาว และการขยายตัวของธุรกิจโรงแรมและที่พักจากการจองล่วงหน้า รวมไปถึงการผลิตและจำหน่ายที่เพิ่มขึ้นของผลิตภัณฑ์ชุมชนในกลุ่มของฝากที่ระลึก ดัชนีความเชื่อมั่นฯ ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 54.4 เพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ระดับ 52.6 เพราะมีการขยายตัวในกลุ่มการผลิต โดยเฉพาะอาหารและเครื่องดื่ม และเสื้อผ้าและสิ่งทอ รวมไปถึงกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์ 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 57.9 ปรับเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ที่ระดับ 56.9 แนวโน้มความเชื่อมั่นฯ คาดการณ์เพิ่มขึ้น จากการขยายตัวของกำลังซื้อในปัจจุบัน และความคาดหวังในมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐเพิ่มเติม แม้จะยังมีความกังวลเกี่ยวกับรายได้ในอนาคตและผลกระทบต่อการระบาดรอบใหม่ แต่ผลกระทบคาดว่าจะอยู่ในวงจำกัดและไม่รุนแรงเท่ากับช่วงวิกฤตก่อนหน้า
ส่วนปัจจัยสำคัญที่มีผลกระทบต่อกิจการ SME ประเทศในเดือนนี้ 5 อันดับแรก ได้แก่ 1. ภาวะเศรษฐกิจในประเทศและอำนาจซื้อของประชาชน 2. การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภค 3. มาตรการในด้านต่างๆ ของรัฐบาล 4. การแข่งขันในตลาด และ 5. ราคาต้นทุนสินค้า/ค่าแรงงาน
อ่านต่อ: