GDP ปี'64 จะขยายตัว 0.5%-2% กกร. ห่วงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวช้า วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้า
กกร. คงตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2564 ขยายตัวในกรอบ 0.5 ถึง 2.0% ห่วงเศรษฐกิจไทยแนวโน้มฟื้นตัวช้า โดยเฉพาะด้านอสังหาฯ การค้าและการท่องเที่ยว แต่การส่งออกครึ่งปีหลังสดใส ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก วอนรัฐเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้า
Advertisement | |
การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนมิถุนายน 2564 โดยมี นายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธาน กกร. นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ร่วมเป็นประธานการประชุมทางไกลผ่านจอภาพ (Video Conference) เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกในช่วงครึ่งปีหลังยังสดใสตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการค้าโลก รวมถึงการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ โดยเฉพาะการส่งออกไปยังตลาดที่มีความคืบหน้าด้านการกระจายวัคซีนอย่างสหรัฐฯ ยุโรป และจีน ซึ่งเป็นเกือบ 40% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมด ต่อเนื่องจากในช่วง 4 เดือนแรกของปีที่มูลค่าการส่งออกไปยังตลาดดังกล่าวขยายตัวได้มากกว่า 10% นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนเกิดวิกฤตค่อนข้างมาก ยังเป็นแรงหนุนสำคัญให้มูลค่าส่งออกไทยในปีนี้ขยายตัวได้ดี
อย่างไรก็ดี กกร. รวมทั้งสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย มองว่าต้นทุนค่าระวางเรือที่คาดว่าจะยังในระดับสูงต่อไปตลอดปีนี้ และการขาดแคลนตู้ส่งสินค้า เป็นปัญหาด้านโลจิสติกส์ที่สำคัญ ซึ่งต้องการความช่วยเหลือจากรัฐ ดังเช่น การอนุญาตให้เรือขนาดใหญ่ (ความยาว 300 เมตรแต่ไม่เกิน400 เมตร) เข้ามาในท่าเรือแหลมฉบัง ที่ช่วยบรรเทาการขาดแคลนตู้ส่งสินค้าได้ระดับหนึ่งไปแล้วก่อนหน้านี้ เป็นต้น
อย่างไรก็ตาม ต้องควบคุมการระบาดที่ลุกลามไปสู่ภาคการผลิตให้ได้โดยเร็ว สถานการณ์ COVID-19 ที่ระบาดระลอกล่าสุดช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2564 ส่วนใหญ่อยู่ทางฝั่งเอเชียอาทิ ไต้หวัน มาเลเซีย เวียดนาม และไทย ซึ่งมีความคืบหน้าด้านการกระจายวัคซีนค่อนข้างจำกัด ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อกลับมาเร่งตัวขึ้นมาก และกระทบไปยังภาคการผลิตและห่วงโซ่อุปทานที่สำคัญ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่ผลิตสินค้าขั้นกลางอย่างชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ และเซมิคอนดักเตอร์ สะท้อนจากดัชนีเครื่องชี้ภาคการผลิต PMI ของประเทศฝั่งเอเชียที่ปรับตัวชะลอลงในเดือนพฤษภาคม
ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังต้องการแรงสนับสนุนจากทั้งนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติม เศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มฟื้นตัวได้ช้า โดยผู้ประกอบการในภาคท่องเที่ยวสะท้อนว่าผลกระทบจากการระบาดคราวนี้มีแนวโน้มรุนแรงมากกว่าทั้ง 2 ระลอกก่อนหน้า จากการแพร่ระบาดที่มีแนวโน้มยืดเยื้อและเข้ามาซ้ำเติมกิจกรรมทางธุรกิจให้แย่ลงต่อเนื่อง เช่นเดียวกับผู้ประกอบการภาคอสังหาริมทรัพย์และภาคการค้าที่สะท้อนว่าได้รับผลกระทบมากกว่า 2 ระลอกก่อนหน้าจากกำลังซื้อที่ลดลง ดังนั้น แรงสนับสนุนจากนโยบายการเงินและการคลังเพิ่มเติมเป็นสิ่งจำเป็น สอดคล้องกับรายงานของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ฉบับล่าสุดในเดือน มิ.ย. (Article IV Consultation) ที่เสนอแนะให้ประเทศไทยสามารถดำเนินการผ่อนคลายนโยบายการคลังมากขึ้น โดยเฉพาะการเร่งใช้จ่ายด้านการลงทุนภาครัฐ และมีความต่อเนื่อง
ความรวดเร็วในการกระจายวัคซีนและนโยบายสนับสนุนที่เหมาะสมจะเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในระยะต่อไป การเร่งกระจายวัคซีนในประเทศที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ จะช่วยให้ภาคการผลิตและส่งออกไทยยังคงรักษาการเป็นฟันเฟืองหลักของเศรษฐกิจในภาวะวิกฤตเช่นนี้ และยังจะสร้างเสริมความเชื่อมั่นให้กับภาคธุรกิจและประชาชน ทำให้อุปสงค์ในประเทศกลับมาฟื้นตัวได้ ทั้งนี้ ที่ประชุม กกร. คงประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2564 เป็นขยายตัวในกรอบ 0.5% ถึง 2.0% ด้านการส่งออก กกร. คาดว่าจะขยายตัว 5.0% ถึง 7.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะอยู่ในกรอบ 1.0% ถึง 1.2%
-
ส.อ.ท.วอนรัฐฯ อนุญาตเอกชนกว่า 5 หมื่นรายลงชื่อ พร้อมจัดซื้อวัคซีนโควิด 1 แสนโดส ภายใน มิ.ย.64
-
หอการค้าฯ ระดมสมอง 40 ซีอีโอ ต้องการวัคซีนทางเลือกให้เพียงพอ และพร้อมกระจายวัคซีน สู้วิกฤติโควิด-19 ฟื้น ศก.ไทย
-
กกร. ปรับ GDP ปี'64 ขยายตัว 1.5-3% เผยเอกชนแสดงความจำนงซื้อวัคซีนแล้วกว่า 5 ล้านโดส
2.เพิ่มมาตรการช่วยเหลือด้านกำลังซื้อภาคประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่ง ให้เข้ามาพยุงกำลังซื้อได้ในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 โดยพิจารณาเพิ่มวงเงินสนับสนุนการใช้จ่ายจาก 3,000 บาทเป็น 6,000 บาท ซึ่งจะช่วยให้มีเม็ดเงินสะพัดในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจาก 9 หมื่นล้านบาท เป็น 1.8 แสนล้านบาท เมื่อรวมเม็ดเงินของประชาชนที่นำออกมาใช้จ่ายคู่กับเม็ดเงินจากโครงการคนละครึ่ง
3.พิจารณาแนวทางมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ (E-voucher) ให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นจะช่วยผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ให้มีความคล่องตัวมากขึ้น ให้ผู้บริโภคสามารถนำเงินที่ใช้จ่ายสำหรับซื้อสินค้าและบริการ มาใช้เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้โดยตรง ซึ่งเชื่อว่าจะอำนวยความสะดวกและดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคที่มีกำลังซื้อสูงมากขึ้น
ทังนี้ จากที่ได้มีการนำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ออกมาให้ธนาคารต่างๆ ดำเนินการ ทาง กกร. ได้รับทราบประเด็นปัญหาเกี่ยวกับมาตรการทั้งสองจากสมาชิก ทั้งนี้ กกร. กำลังอยู่ในระหว่างการหารือเพื่อหาแนวทางการปรับปรุงเงื่อนไขโครงการและหลักการทั้ง 2 เพื่อนำเสนอกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต่อไป
อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่
Website : www.mreport.co.th
Facebook : MreportTH
Youtube official : MReport
Line : @mreportth
Twitter : MreportTH