กกร. หั่น GDP ปี'65 เหลือ 2.5-4% เงินเฟ้อเพิ่ม 3.5-5.5% วอนรัฐเลิก Test & GO พยุงเศรษฐกิจ

กกร. หั่น GDP ปี'65 เหลือ 2.5-4% เงินเฟ้อเพิ่ม 3.5-5.5% วอนรัฐเลิก Test & GO พยุงเศรษฐกิจ

อัปเดตล่าสุด 5 เม.ย. 2565
  • Share :
  • 1,378 Reads   

กกร. ปรับตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2565 ลดลงอยู่ในกรอบ 2.5-4.0% ส่งออกยังขยายตัว 3-5% เงินเฟ้อเพิ่มเป็น 3.5-5.5% แต่เชื่อเศรษฐกิจไทยยังโตได้ วอนภาครัฐยกเลิก Test & GO - เลื่อนบังคับใช้ PDPA

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนเมษายน 2565 โดยมี นายสุพันธุ์ มงคลสุธี ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ รองประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย และนายผยง ศรีวณิช ประธานสมาคมธนาคารไทย เป็นประธานร่วม เปิดเผยภายหลังการประชุมว่า ความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครนที่ยืดเยื้อและยังมีความรุนแรง ส่งผลให้ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ในตลาดโลกมีแนวโน้มทะยานสูงขึ้น และทำให้การเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มลดลง ความตึงเครียดดังกล่าวกดดันให้อุปทานน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติมีทิศทางตึงตัว โดยทั้งปี 2565 ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสอยู่เหนือ 100 ดอลลาร์ฯ ต่อบาร์เรล นอกจากนี้ ราคาสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ เช่น ในกลุ่มเกษตรและกลุ่มโลหะก็สูงขึ้นตามไปด้วย ทั้งหมดนี้ ได้ทำให้ภาคธุรกิจต้องเผชิญภาระต้นทุนที่สูงขึ้น และส่งผลต่อเนื่องไปยังระดับราคาสินค้า ซึ่งเริ่มกระทบต่อความเชื่อมั่นของทั้งผู้บริโภคและนักลงทุน โดย OECD ประเมินว่า วิกฤตรัสเซียและยูเครนจะทำให้เศรษฐกิจโลกโตน้อยลงกว่าเดิมกว่า 1% และทำให้อัตราเงินเฟ้อโลกเพิ่มขึ้น 2.5% จากที่ประเมินไว้ก่อนเกิดวิกฤติ

เศรษฐกิจโลกจะเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่ในจีนที่ทำให้หลายพื้นที่ต้องล็อกดาวน์ และการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ การล็อกดาวน์พื้นที่ในจีนเพื่อหยุดการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อภาคการผลิตและอาจทำให้เศรษฐกิจจีนเติบโตในอัตราที่น้อยลงกว่าเดิม รวมทั้งอาจเกิดภาวะ supply chain disruption ที่รุนแรงขึ้นได้ นอกจากนั้น ภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นทั่วโลกส่งผลให้หลายประเทศเศรษฐกิจหลัก โดยเฉพาะสหรัฐฯ จำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ทำให้เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มเติบโตลดลงเช่นกัน รวมถึงตลาดการเงินเริ่มกังวลความเสี่ยงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจเข้าสู่ภาวะถดถอย

ด้านเศรษฐกิจไทยได้รับแรงกดดันจากอัตราเงินเฟ้อที่มีแนวโน้มสูงที่สุดในรอบ 10 ปี คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั่วไปของธนาคารแห่งประเทศไทยที่ 4.9% เป็นอัตราที่สูงที่สุดในรอบ 10 ปี ซึ่งเงินเฟ้อที่เร่งตัวขึ้นมากจะเป็นแรงกดดันต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์และกำลังซื้อในประเทศ ดังนั้น แม้ว่าวิกฤตรัสเซีย-ยูเครน จะกระทบการส่งออกและการท่องเที่ยวโดยตรงไม่มากนัก แต่ผลจากการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้าพลังงาน และสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญอื่นๆ เช่น ปุ๋ย สุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ประชาชนได้รับผลกระทบในวงกว้าง โดยเฉพาะหากไปทำให้ราคาอาหารสดและราคาอาหารสำเร็จรูปปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

แม้เศรษฐกิจไทยจะเผชิญความเสี่ยงรอบด้าน แต่ยังคาดว่าจะเติบโตได้ ความมุ่งมั่นของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนในการปรับตัวให้สามารถอยู่กับโควิด-19 แบบเป็นปกติมากขึ้นเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มที่จะฟื้นตัวได้ 

 

ที่ประชุม กกร. จึงปรับประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2565 ขยายตัวได้ในกรอบ 2.5% ถึง 4.0% และคงประมาณการการส่งออกในปี 2565 ว่าจะยังขยายตัวในกรอบ 3.0% ถึง 5.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นมาก โดยเฉพาะสินค้าในหมวดอาหารและพลังงาน จึงปรับประมาณการเงินเฟ้อเพิ่มขึ้นในกรอบ 3.5% ถึง 5.5% 
 
 
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2565 ของ กกร.
 
%YoY

ปี 2565

(ณ ก.พ. 65)

ปี 2565

(ณ มี.ค. 65)

ปี 2565

(ณ เม.ย. 65)

GDP  3.0 ถึง 4.5 
2.5 ถึง 4.5 
2.5 ถึง 4.0 
ส่งออก 3.0 ถึง 5.0 
3.0 ถึง 5.0 
3.0 ถึง 5.0 
เงินเฟ้อ 1.5 ถึง 2.5 
2.0 ถึง 3.0 
3.5 ถึง 5.5 

ชงยกเลิก Test & GO กระตุ้นการท่องเที่ยว

กกร. มีความเห็นว่า หากมีการยกเลิกมาตรการ Test & GO จะช่วยกระตุ้นการท่องเที่ยวได้มากขึ้น ซึ่งจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศได้ในยามที่เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจอื่นๆ มีข้อจำกัด และจะทำให้เศรษฐกิจไทยสามารถเติบโตได้เกิน 3%

นอกจากนี้ ในภาวะที่เศรษฐกิจยังต้องการแรงกระตุ้น ภาครัฐควรพิจารณาต่ออายุโครงการคนละครึ่ง และโครงการเราเที่ยวด้วยกัน เพื่อช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสที่ 2 และ 3 ของปี 2565

ด้านสถานการณ์การส่งออกสินค้าของไทยไปจีน เป็นปัญหาที่ภาคเอกชน ติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งต้องขอขอบคุณรัฐบาลในการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วน โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศที่มีการการเจรจากับรัฐบาลจีนเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยรัฐบาลจีน ได้มีการสั่งการให้ส่งเจ้าหน้าที่จีนเข้าตรวจผลไม้ในประเทศก่อนส่งออกไปจีน รวมทั้งเพิ่มจำนวนเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่การขนส่งผลไม้จากไทยไปจีนอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งสำหรับการดูแลคุณภาพและความปลอดภัย ก็ต้องขอบคุณกระทรวงมหาดไทยที่จะมีการประสานไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่มีการส่งผลไม้ไปยังประเทศจีน ให้นำแนวทางปฏิบัติของจังหวัดจันทบุรี เรื่อง มาตรฐานความปลอดภัยจากโควิดในผลไม้ ไปใช้สำหรับเกษตรกรชาวสวน ล้ง และผู้ประกอบขนส่ง นอกจากนี้ต้องขอขอบคุณกระทรวงพาณิชย์ที่ช่วยผลักดันประเด็นการแก้ไขปัญหานี้ด้วย  ทั้งนี้กกร. ยังเสนอให้ภาครัฐพิจารณาแผนสำรองในการส่งออกผลไม้ ผ่านทางเรือและทางอากาศ รวมทั้งช่วยส่งเสริมให้ประชาชนบริโภคผลไม้ภายในประเทศให้มากขึ้น นอกเหนือจากนี้ ปัญหาการส่งออกทุเรียน ซึ่งเป็นสินค้าหนึ่งในสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย  เพื่อให้การบริหารจัดการทุเรียนเพื่อการส่งออก มีระบบการจัดการที่มีคุณภาพอย่างปลอดภัย ตามเกณฑ์ GAP,GMP+, SHA โดยคาดหมายว่าจะเริ่มส่งออกทุเรียนไปประเทศจีนผ่านระบบการจัดการดังกล่าว ได้ในเดือนเมษายน 2565

วอนรัฐเลื่อนบังคับใช้ PDPA ออกไปก่อน

กกร. ตระหนักถึงความสำคัญของการบังคับใช้พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ แต่จากสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เศรษฐกิจโดยรวมได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด 19 ทำให้ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องทุ่มเททรัพยากรเพื่อฟื้นฟูธุรกิจ และปรับตัวให้อยู่รอด อีกทั้งปัจจุบ้นกฎหมายลำดับรอง ยังไม่แล้วเสร็จสมบูรณ์ และควรมีเวลาให้ทุกภาคส่วนพิจารณาทำความเช้าใจพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลฯ นี้ด้วย กกร. จึงมีความเห็นว่าภาคเอกชนควรมีส่วนร่วมในการให้ความเห็นและข้อเสนอแนะในการพิจารณากฎหมายลำดับรอง จึงเห็นควรเสนอให้รัฐบาลพิจารณาเลื่อนการบังคับใช้กฏหมายฉบับนี้ไปก่อน

 

#เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #COVID-19 #การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน #กกร. #หอการค้าไทย #สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #สมาคมธนาคารไทย

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH