เหล็กจีน ทุ่มตลาด, มาตรการ AC เหล็ก, การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD), สินค้าเหล็ก Steel, อุตสาหกรรมเหล็ก, ผู้ผลิตเหล็กไทย

เหล็กจีนเลี่ยงเอดีกินส่วนแบ่งตลาดเหล็กไทย สถาบันเหล็กหนุนมาตรการตอบโต้-ใช้กำลังผลิตในประเทศ

อัปเดตล่าสุด 4 ส.ค. 2566
  • Share :
  • 993 Reads   

การนำเข้าเหล็กของจีนที่หลั่งไหลเข้ามาในตลาดไทยทำให้เกิดความกังวลต่ออุตสาหกรรมเหล็กในประเทศ ส่งผลให้การผลิตเหล็กไทยลดลง 14.7% ในช่วง 5 เดือนแรกของปี ตามรายงานล่าสุดของสถาบันเหล็ก

วันที่ 3 สิงหาคม 2566 นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลสถานการณ์อุตสาหกรรมเหล็ก โดยข้อมูลการบริโภคเหล็กของไทย ตั้งแต่ต้นปีจนถึงเดือนพฤษภาคม อยู่ที่ 7.17 ล้านตัน ใกล้เคียงกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีปริมาณ 7.03 ล้านตัน ทั้งนี้ในรอบ 5 เดือนแรกของปี อุตสาหกรรมภายในประเทศสามารถผลิตเหล็กจำนวน 2.81 ล้านตัน ลดลงถึง 14.7% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ในขณะที่เมื่อเทียบกับการนำเข้าเรามีการนำเข้าถึง 4.99 ล้านตัน เพิ่มขึ้นอย่างมากถึง 15.6% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสินค้าในประเทศถูกแย่งส่วนแบ่งตลาดจากสินค้านำเข้า

ในขณะที่ประเทศไทยมีการส่งออกอยู่ที่ 0.63 ล้านตัน ขยายตัว 9.5% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ส่งผลให้อัตราการใช้กำลังการผลิตเหล็กของผู้ผลิตในประเทศไทยในปีนี้ (5 เดือนแรกของปี) เฉลี่ยที่ 29% ลดลงจาก 33% จากช่วงเดียวกันในปี 2565 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับต่ำมากเมื่อเปรียบเทียบกับอัตราการใช้กำลังการผลิตของประเทศในอาเซียนที่อยู่ในระดับ 52.3% ซึ่งปัญหาหลักเกิดจากการที่ประเทศไทยยังมี การนำเข้าเหล็กในสัดส่วนที่สูงมากในอัตรา 70% ของการบริโภค และพบว่าการนำเข้าของประเทศไทย มีค่าที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยการนำเข้าของประเทศในอาเซียนที่อยู่ในระดับเพียง 22% เท่านั้น (ที่มาข้อมูลอัตราการผลิตและอัตราการนำเข้าของประเทศอาเซียน : สถาบันเหล็กและเหล็กกล้าอาเซียน หรือ The South East Asia Iron And Steel Institute (SEAISI))

นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย, เหล็กจีน ทุ่มตลาด, มาตรการ AC เหล็ก, การตอบโต้การทุ่มตลาด (AD), สินค้าเหล็ก Steel, อุตสาหกรรมเหล็ก, ผู้ผลิตเหล็กไทย

นายวิโรจน์ โรจน์วัฒนชัย ผู้อำนวยการสถาบันเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศไทย

ทั้งนี้ แนวโน้มราคาของสินค้าเหล็กทั้งในประเทศไทยและในกลุ่มประเทศอาเซียน ยังคงได้รับแรงกดดันจากการที่ประเทศจีนมีการส่งออกสินค้าสำเร็จรูปเป็นจำนวนมากในครึ่งแรกของปี 2566 โดยมีปริมาณการส่งออกเพิ่มขึ้นถึง 41.4% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 โดยตลาดการส่งออกหลักของจีนอยู่ที่ประเทศในภูมิภาคอาเซียน โดยเฉพาะประเทศไทยที่มีอัตราการนำเข้าจากจีนสูงขึ้นถึงกว่า 50% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 สืบเนื่องมาจากการที่ประเทศจีนมีปริมาณการผลิตเหล็กในประเทศสูงขึ้นเป็น 445 ล้านตัน เพิ่มขึ้น 6.1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปี 2565 แสดงให้เห็นถึงปัญหาของอุปสงค์ภายใน  

นอกจากนี้ จากปัจจัยดังกล่าวยังส่งผลกระทบต่อสถานการณ์ราคาสินค้าเหล็กของประเทศไทย และประเทศในอาเซียนด้วย โดยสมาคมอุตสาหกรรมเหล็กและเหล็กกล้าแห่งประเทศจีน (China Iron and Steel Association : CISA) ได้เปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาเหล็กของจีน (China steel price index :CSPI) ประจำเดือนมิถุนายน 2566 อยู่ที่ระดับ 109.19 ซึ่งอยู่ในระดับต่ำเมื่อเทียบกับระดับดัชนีราคาในเดือนเดียวกันของปี 2565 ที่ระดับ 122.52  ทั้งนี้ สถานการณ์ราคาตลาดสินค้าเหล็กยังต้องฝากความหวังไว้กับการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน โดยเฉพาะในภาคอสังหาริมทรัพย์ของครึ่งปีหลัง ที่จะเป็นตัวดูดซับปริมาณเหล็กที่ผลิตออกมา 

นายวิโรจน์ กล่าวเสริมว่า สินค้าเหล็กสำเร็จรูปที่นำเข้าจากประเทศจีนที่เพิ่มขึ้นในช่วงที่ผ่านมา และเข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาดของผู้ผลิตในประเทศ ส่วนใหญ่เกิดจากการหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Circumvention) เช่น สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อน หรือสินค้าเหล็กลวดที่มีการเจืออัลลอย เพื่อหลบเลี่ยงพิกัดศุลกากรที่มีปริมาณนำเข้าในช่วง 5 เดือนแรกปี 2566 เพิ่มขึ้นถึง 286% และ 23.7% ตามลำดับ หรือการนำเหล็กเคลือบประเภทต่าง ๆ มาใช้แทนเหล็กเคลือบที่มีมาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) ส่งผลให้เกิดการบั่นทอนประสิทธิภาพการบังคับใช้มาตรการ AD ในปัจจุบัน ดังนั้น สถาบันเหล็กฯ จึงเห็นว่าการใช้ตอบโต้การหลบเลี่ยงมาตรการทางการค้า (Anti-Circumvention: AC) มีความจำเป็นเป็นอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่ประเทศต่าง ๆ มีการบังคับใช้ เช่น กรณีสหภาพยุโรปมีการใช้มาตรการ AC กับสินค้าเหล็กเคลือบสังกะสีของจีน หรือกรณีที่สหรัฐใช้มาตรการ AC กับสินค้าเคลือบสังกะสีจากเวียดนาม หรือกรณีที่บราซิล ใช้มาตรการ AC สินค้าเหล็กแผ่นรีดร้อนเจืออัลลอยจากประเทศจีน เป็นต้น

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH