กกร. คง GDP ปี'66 บวก 3 - 3.5% ส่งออกติดลบ 1% ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวครึ่งปีหลัง

กกร. คง GDP ปี'66 บวก 3 - 3.5% ส่งออกติดลบ 1% ชี้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวครึ่งปีหลัง

อัปเดตล่าสุด 3 พ.ค. 2566
  • Share :

กกร. แถลงคงตัวเลขคาดการณ์ GDP ปี 2566 เพิ่มขึ้นในกรอบ 3.0 - 3.5% ส่งออกติดลบ 1% เงินเฟ้อเพิ่ม 2.7 - 3.2% พร้อมชง 6 แนวทางในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาการดำเนินธุรกิจ

การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประจำเดือนพฤษภาคม 2566 โดยมี นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นประธาน กกร. นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการหอการค้าไทย และ ดร.พชรพจน์ นันทรามาศ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย เป็นประธานร่วม เปิดเผยภายหลังการประชุม ณ ห้องประชุม 109 BCFG ชั้น 1 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ว่า เศรษฐกิจประเทศหลักทยอยฟื้นตัว โดย GDP ของจีนและสหรัฐฯในไตรมาสแรกต่างขยายตัว จากภาคบริการที่เป็นปัจจัยขับเคลื่อนหลัก ขณะที่ภาคการผลิตที่ชะลอตัวตลอดไตรมาสที่ 1 เริ่มปรับตัวดีขึ้น นำโดยตลาดสหรัฐฯ ที่แม้ว่ายังเผชิญปัญหาสถาบันการเงินอย่างต่อเนื่องแต่ไม่ได้สร้างผลกระทบต่อภาคธุรกิจและครัวเรือนมากนัก สัญญาณการปรับตัวดีขึ้นของภาคการผลิตในตลาดหลักมองว่าเป็นผลต่อภาคการส่งออกไทย ล่าสุดเริ่มเห็นสัญญาณการฟื้นตัวโดยเฉพาะสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมเกษตร ทั้งนี้ คาดว่าการส่งออกไทยจะหดตัวในช่วงครึ่งปีแรกก่อนจะมีแนวโน้มกลับมาขยายตัวได้ในช่วงครึ่งปีหลัง 

จากสถานการณ์ภาวะต้นทุนยังอยู่ในระดับสูงและอาจปรับตัวลงช้า รวมถึง ราคาในตลาดโลกของสินค้าโภคภัณฑ์ในภาคเกษตรและภาคอุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อของประเทศเศรษฐกิจหลักยังทรงตัวในระดับสูง และมีแนวโน้มลดลงช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้เดิม เนื่องจากการส่งผ่านต้นทุนยังไม่สิ้นสุด เช่นเดียวกับในกรณีของประเทศไทยที่ผู้ประกอบการมีแนวโน้มทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าเพื่อส่งผ่านภาระต้นทุนต่อไปในระยะข้างหน้า ผลกระทบจากราคาสินค้าและต้นทุนที่มีแนวโน้มสูงต่อเนื่องจึงเป็นปัจจัยกดดันภาคธุรกิจและครัวเรือนต่อไป ทั้งนี้ต้องจับตาความเสี่ยงจากภาวะภัยแล้งที่อาจเกิดขึ้นในระยะข้างหน้าซึ่งอาจซ้ำเติมราคาอาหารภายในประเทศพุ่งขึ้นอีก

อย่างไรก็ตาม เศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องจากภาคการท่องเที่ยว จำนวนนักท่องเที่ยวมีโอกาสแตะระดับ 30 ล้านคน ในปี 2566 ซึ่งสูงกว่าประมาณการเดิม โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวในช่วงครึ่งปีหลังจะเพิ่มมากขึ้น และเป็นปัจจัยสนับสนุนทำให้ GDP ในช่วงครึ่งปีหลังมีแนวโน้มเติบโตได้มากกว่าครึ่งปีแรก 

 

โดยที่ประชุม กกร. คาดว่า เศรษฐกิจไทยในปี 2566 ยังคงเติบโตที่ประมาณ 3.0% ถึง 3.5% ตามกรอบเดิมที่เคยประเมินไว้ และประเมินว่ามูลค่าการส่งออกมีโอกาสหดตัวในกรอบ -1.0% ถึง 0.0% ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไปคาดว่าจะอยู่ในกรอบ 2.7 ถึง 3.2%
 
 
กรอบประมาณการเศรษฐกิจปี 2566 ของ กกร.
 
%YoY

ปี 2566

(ณ มี.ค. 66)

ปี 2566

(ณ เม.ย. 66)

ปี 2566

(ณ พ.ค. 66)

GDP  3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5 3.0 ถึง 3.5
ส่งออก -1.0 ถึง 2.0 -1.0 ถึง 0.0 -1.0 ถึง 0.0
เงินเฟ้อ 2.7 ถึง 3.2 2.7 ถึง 3.2 2.7 ถึง 3.2

 

สืบเนื่องจากที่จะมีการเลือกตั้งรัฐบาลชุดใหม่ ในวันที่ 14 พ.ค. 2566 และหลายพรรคการเมืองอยู่ระหว่างการหาเสียงในช่วงนี้ ซึ่ง กกร. ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญในการดำเนินนโยบายเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และเสริมเสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ซึ่งจะเป็นรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างยั่นยืน กกร. จึงได้จัดทำข้อเสนอต่อพรรคการเมือง เพื่อให้ทราบถึงความต้องการของภาคเอกชน ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและแก้ปัญหาในการดำเนินธุรกิจ โดยมี 6 ประเด็นหลัก ดังนี้

1. ด้าน Competitiveness เช่น การยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ สนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืน

2. ด้าน Ease of Doing Business  เช่น ปฏิรูปกฎหมายที่ล้าสมัยเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ โดยเร่งปรับปรุงกฎหมายลำดับรองที่เกี่ยวข้องกับการอนุมัติอนุญาตภาครัฐ และที่เป็นอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ

3. ด้าน Digital Transformation เช่น ส่งเสริมการเป็น Technology hub ของประเทศไทย เพื่อให้เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยีซึ่งจะมีโอกาสสูงที่จะดึงเอาเม็ดเงินและทุนระดับโลกเข้าสู่ประเทศไทย

4. ด้าน Human Development เช่น การเพิ่มผลิตภาพแรงงาน (Labor Productivity) ควรกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ มีการสนับสนุนระบบการจ่ายค่าจ้างแรงงานตามทักษะฝีมือ (Pay by Skill) ยกระดับมาตรฐานฝีมือแรงงานให้ได้มาตรฐานสากล และแก้ปัญหาการขาดแคลนแรงงานไทย และต่างด้าว 

5. ด้าน SME เช่น สนับสนุนให้มีมาตรการช่วยเหลือกลุ่ม SMEs ให้เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว และเร่งการปรับโครงสร้างหนี้ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการ SME เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจ

6. ด้าน Sustainability เช่น ขับเคลื่อนโมเดลเศรษฐกิจสู่การพัฒนาที่ยั่งยืน หรือ BCG และการจัดทำแผนรองรับปัญหาการขาดแคลนอาหาร (Food Security) แก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน ยกระดับมาตรการทั้งก่อน ขณะ และหลังเป็นหนี้ เน้นการมีวินัยด้านเครดิต และการเสริมความรู้ด้านการเงิน (Financial Literacy)

กกร. มีความกังวลต่อความเสี่ยงภัยแล้งที่อาจส่งผลกระทบต่อภาคตะวันออก ซึ่งมีสาเหตุเกิดจากปรากฏการณ์เอลนีโญ่ที่มีโอกาสเกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ค. 2566 และอาจรุนแรงติดต่อกันมากถึง 3 ปี ปรากฏการณ์เอลนีโญ่ในครั้งนี้ จะทำให้เกิดคลื่นความร้อนและภัยแล้งเป็นบริเวณกว้าง โดยเฉพาะปริมาณน้ำฝนที่คาดว่าจะมีปริมาณลดลงและทำให้ปริมาณน้ำเก็บกักในอ่างเก็บน้ำในภาคตะวันออกไม่เพียงพอต่อความต้องการใช้น้ำของทุกภาคส่วน ดังนั้น กกร. จึงเห็นควรให้มีหนังสือถึงนายกรัฐมนตรีฯ ขอให้พิจารณาสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำแผนรับมือสถานการณ์ภัยแล้งระยะเร่งด่วน 3 ปี และระยะยาว เพื่อเร่งวางมาตรการรับมือภัยแล้ง และเร่งรัดโครงการพัฒนาแหล่งกักเก็บน้ำภาคตะวันออกให้แล้วเสร็จตามแผน เช่น โครงการอ่างเก็บน้ำคลองวังโตนด จังหวัดจันทบุรี เป็นต้น

 

 

 

#เศรษฐกิจไทย #GDP Thailand #การประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน #กกร. #หอการค้าไทย #สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย #สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย #สมาคมธนาคารไทย

 

บทความยอดนิยม 10 อันดับ

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / Twitter / YouTube @MreportTH