การค้าระหว่างไทย-อินเดีย 4 เดือนแรกของปี 2561
การค้าระหว่างประเทศไทย-อินเดียในปี 2561 (มกราคม – เมษายน 2561) คิดเป็นมูลค่ารวม 4,038.74 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 24.78) โดยเป็นการส่งออกจากไทย 2,580.79 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 30.42) และไทยนำเข้าจากอินเดีย 1,457.95 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (เพิ่มขึ้นร้อยละ 15.90) ไทยเป็นฝ่ายได้ดุลการค้า จำนวน 1,122.84 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากมูลค่าการค้าดังกล่าว อินเดียเป็นตลาดส่งออกสำคัญอันดับที่ 10 และเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับที่ 13
สินค้าสำคัญในการส่งออกจากไทยไปอินเดีย
อันดับหนึ่งในการส่งออกที่มีมูลค่ามากที่สุดของไทยคือ เคมีภัณฑ์ โดยมีมูลค่าการส่งออกกว่า 308.9 ล้านเหรียญสหรัฐ มีการขยายตัวถึง 39.85%
ถัดมาเป็นเม็ดพลาสติก มีมูลค่าส่งออกเป็น 290.2 ล้านเหรียญสหรัฐ
เครื่องปรับอากาศและส่วนประกอบ คิดเป็นมูลค่ากว่า 161.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ไขมันและน้ำมันจากพืชและสัตว์ คิดเป็น 135.8 ล้านเหรียญสหรัฐ
รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ที่ขยายตัวกว่า 15.88% คิดเป็นมูลค่าส่งออกเป็น 132 ล้านเหรียญสหรัฐ
ลำดับถัดไปคืออัญมณีและเครื่องประดับเหล็ก คิดเป็นมูลค่า 131.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์เหล็ก เป็น 121.7 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถัดจากนั้นเป็น เครื่องจักรกลและส่วนประกอบ เครื่องรับวิทยุ โทรทัสน์และส่วนประกอบ และผลิตภัณฑ์ยาง คิดเป็นมูลค่าการส่งออกที่ 110.5 84.7 และ 78.6 ล้านเหรียญสหรัฐตามลำดับ
รวมมูลค่าในการส่งออกทั้งสิ้นโดยรวมสินค้าส่งออกอื่น ๆ อีกเป็น 2,580.8 ล้านเหรียญสหรัฐ มีการขยายตัวในภาพรวมกว่า 30.42% จะเห็นได้ว่าการค้าระหว่างอินเดียกับไทยนั้นกำลังเป็นไปด้วยดี
สินค้าสำคัญในการนำเข้าจากอินเดียมาไทย
สำหรับสินค้าที่ไทยนำเข้ามาจากอินเดีย อันดับหนึ่งเป็นเครื่องเพชรพลอย อัญมณี เงินแท่งและทองคำ โดยมีมูลค่าการนำเข้าเป็น 333.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
ถัดมาเป็นเคมีภัณฑ์ มีมูลค่าเป็น 146.9 ล้านเหรียญสหรัฐ
จากนั้นเป็นเครื่องจักรกลและส่วนประกอบ สินแร่โลหะ เศษโลหะและผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบและอุปกรณ์ยานยนต์ และเหล็ก เหล็กกล้าและผลิตภัณฑ์ โดยมีมูลค่าเป็น 136.1 106.3 919 และ 79.0 ล้านเหรียญสหรัฐ
นอกจากนี้ยังมีการนำเข้าสัตว์น้ำสด แช่แข็ง แปรรูปและกึ่งแปรรูป ผลิตภัณฑ์เวชกรรมและเภสัชกรรม พืชและผลิตภัณฑ์จากพืช รวมไปถึงกาแฟ ชา และเครื่องเทศอีกด้วย
สำหรับการนำเข้าสินค้าจากอินเดียนั้นมีมูลค่ารวมกับสินค้านำเข้าอื่น ๆ อีกเป็น 1,457.9 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีการขยายตัวกว่า 15.9%