ทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยปี 2562
ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมกับ “สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย” (ส.อ.ท.) เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมเรื่อง “CEO Survey ทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยปี 2562” โดยสอบถามความคิดเห็นจากผู้บริหารระดับสูง (CEO) ในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ กระจายทั่วทุกภูมิภาค รวมทั้งสิ้นจำนวน 110 ราย เกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยปี 2562 ในมุมมองของผู้บริหาร (Chief Executive Officer: CEO) ทำการสำรวจระหว่าง วันที่ 30 ตุลาคม ถึง 14 พฤศจิกายน 2561 อาศัยการสุ่มตัวอย่างจากบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการ ที่ขึ้นทะเบียนเป็นสมาชิกกับสภา-อุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ด้วยวิธีแบบแบ่งชั้นภูมิ (Stratified Random Sampling) ตามภูมิภาค เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ การส่งแฟกซ์ และการส่งแบบสอบถามทางออนไลน์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ที่ร้อยละ 95.0 จากผลการสำรวจพบว่า
ความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูง ร้อยละ 45.46 ระบุว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัว ร้อยละ 39.09 ระบุว่าทรงตัว และร้อยละ 15.45 ระบุว่า หดตัว โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะขยายตัวนั้น ร้อยละ 74.00 ระบุว่า จะขยายตัว 1 – 5% ร้อยละ 10.00 ระบุว่า ขยายตัว 6 – 10% และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 6.00 ระบุว่า ขยายตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป ส่วนในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ทิศทางเศรษฐกิจไทยในปี 2562 จะหดตัวนั้น ร้อยละ 35.29 ระบุว่า จะหดตัว 1 – 5% ร้อยละ 17.65 ระบุว่า หดตัว 6 – 10% และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน และร้อยละ 29.41 ระบุว่า หดตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป
ความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อทิศทางภาพรวมภาวะอุตสาหกรรมในปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูง ร้อยละ 38.18 ระบุว่า จะขยายตัว ร้อยละ 46.37 ระบุว่า ทรงตัว และร้อยละ 15.45 ระบุว่า จะหดตัว โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ทิศทางภาพรวมภาวะอุตสาหกรรมในปี 2562 จะขยายตัวนั้น ร้อยละ 64.29 ระบุว่า จะขยายตัว 1 – 5% ร้อยละ 26.19 ระบุว่า จะขยายตัว 6 – 10% ร้อยละ 4.76 ระบุว่า จะขยายตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป และไม่ระบุ/ไม่แน่ใจ ในสัดส่วนที่เท่ากัน ส่วนในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ทิศทางภาพรวมภาวะอุตสาหกรรมในปี 2562 จะหดตัวนั้น ร้อยละ 47.06 ระบุว่า จะหดตัว 1 – 5% ร้อยละ 23.53 ระบุว่า จะหดตัว 6 – 10% และร้อยละ 29.41 จะหดตัวมากกว่า 10% ขึ้นไป
ความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงต่อการวางกรอบการเลือกตั้งที่ชัดเจนมากขึ้นในปี 2562 ของรัฐบาล ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยอย่างไร
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 71.82 ระบุว่า สร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศ สามารถดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติได้ รองลงมา ร้อยละ 35.45 ระบุว่า ความมีเสถียรภาพด้านการเมืองจะเอื้อต่อการดำเนินกิจกรรมทางเศรษฐกิจ (การค้า การลงทุน การผลิต การบริโภค เป็นต้น) ร้อยละ 22.73 ระบุว่า นักลงทุนอาจชะลอหรือเลื่อนการลงทุนออกไปเพื่อรอความชัดเจนของนโยบายรัฐบาลใหม่ และร้อยละ 20.00 ระบุว่า มีความกังวลต่อความต่อเนื่องของนโยบายด้านเศรษฐกิจภายหลังจากได้รัฐบาลใหม่
ด้านปัจจัยที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 64.55 ระบุว่า เป็นความคืบหน้าของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ของภาครัฐที่เข้าสู่ช่วงการก่อสร้างมากขึ้น รองลงมา ร้อยละ 42.73 ระบุว่า เป็นการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวได้ต่อเนื่อง ร้อยละ 40.00 ระบุว่า เป็นนโยบายส่งเสริมการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมายในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร้อยละ 33.64 ระบุว่า เป็นการลงทุนภาคเอกชน และร้อยละ 30.91 ระบุว่า เป็นการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ ที่เป็นไปตามแผนงาน
ด้านปัจจัยเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยในปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 68.18 ระบุว่า เป็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ร้อยละ 39.09 ระบุว่า เป็นเศรษฐกิจรากหญ้าที่ยังมีข้อจำกัดในการเติบโตและมีความเปราะบาง ร้อยละ 36.36 ระบุว่า เป็นทิศทางอัตราดอกเบี้ยในตลาดโลกที่ปรับเข้าสู่ช่วงขาขึ้น (การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ Fed) ร้อยละ 34.55 ระบุว่า เป็นความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนจากการไหลเข้า-ออกของเงินลงทุน ร้อยละ 30.00 ระบุว่า เป็นแนวโน้มราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวสูงขึ้น ร้อยละ 10.91 ระบุว่า เป็นความเสี่ยงทางด้านภูมิรัฐศาสตร์ในตะวันออกกลาง (การดำเนินการคว่ำบาตรอิหร่านของสหรัฐฯ) และร้อยละ 10.00 ระบุอื่นๆ ได้แก่ ปัจจัยด้านการเมืองและการจัดตั้งรัฐบาล
สำหรับการวางแผนของผู้บริหารระดับสูงในการดำเนินกิจการในช่วงปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 66.36 ระบุว่า มีการวางแผนและมีแนวทางในการรับมือ ขณะที่ ร้อยละ 33.64 ระบุว่า ไม่มีการปรับเปลี่ยนแผนมากนักจากช่วงปี 2561 โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่า มีการวางแผนและมีแนวทางในการรับมือนั้น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.32 ระบุว่า มีวิธีการวางแผนโดยพัฒนาคุณภาพและสร้างความแตกต่างให้กับสินค้าเพื่อลดการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นของสินค้าที่อาจไหลเข้าสู่ตลาดภายในประเทศจากผลกระทบของสงครามการค้า รองลงมา ร้อยละ 46.58 ระบุว่า เป็นการขยายตลาดใหม่ๆ ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มฐานลูกค้า ร้อยละ 38.36 ระบุว่า เป็นการปรับปรุงเทคโนโลยีและนวัตกรรมในการผลิต ร้อยละ 23.29 ระบุว่า เป็นการขยาย การลงทุน และร้อยละ 21.92 ระบุว่า เป็นการชะลอการลงทุน
สิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐเร่งดำเนินการเพื่อสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจในปี 2562
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 44.55 ระบุว่า ภาครัฐควรสนับสนุนการใช้สินค้าไทย (Made in Thailand) รองลงมา ร้อยละ 43.64 ระบุว่า ภาครัฐควรเร่งรัดการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่และโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ร้อยละ 41.82 ระบุว่า ภาครัฐควรสนับสนุนการหาตลาดส่งออกใหม่ๆ เพื่อขยายการค้าการลงทุน และป้องกันความเสี่ยงจากสงครามการค้า ร้อยละ 32.73 ระบุว่า ภาครัฐควรเร่งรัดการจัดซื้อจัดจ้างและการเบิกจ่ายงบลงทุนอย่างต่อเนื่อง ร้อยละ 30.00 ระบุว่า ภาครัฐควรส่งเสริมการค้าชายแดนโดยการขยายตลาดเข้าสู่หัวเมืองรองในกลุ่มประเทศ CLMV และแก้ไขปัญหาความล่าช้าในการขนส่งและโลจิสติกส์บริเวณท่าเรือแหลมฉบัง และร้อยละ 3.64 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ การปรับปรุงกฎหมายที่ซ้ำซ้อน และการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน
ด้านความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทย จากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น
พบว่า ผู้บริหารระดับสูงส่วนใหญ่ ร้อยละ 49.09 ระบุว่า ส่งผลลบ รองลงมา ร้อยละ 32.73 ระบุว่า ส่งผลดี และร้อยละ 18.18 ระบุว่า ไม่แน่ใจ โดยในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ส่งผลลบนั้น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 57.41 ระบุว่า การส่งออกสินค้าของไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของทั้ง 2 ประเทศ อาจลดลงได้ รองลงมา ร้อยละ 42.59 ระบุว่า สินค้าจีนที่ถูกเก็บภาษีจะไหลเข้าสู่ตลาดของไทยมากขึ้น และร้อยละ 37.04 ระบุว่า อาจทำให้ผู้ประกอบการจีนย้ายฐานการผลิตมาไทย หรือสวมสิทธิ์สินค้าไทยเพื่อส่งออกไปสหรัฐฯ ส่วนในจำนวนผู้ที่ระบุว่า ส่งผลดีนั้น ส่วนใหญ่ ร้อยละ 75.00 ระบุว่า เป็นโอกาสในการส่งสินค้าเข้าไปยังตลาดสหรัฐฯ ขณะที่ ร้อยละ 66.67 ระบุว่า ดึงดูดการลงทุนเพื่อใช้ไทยเป็นฐานการผลิตเพื่อ การส่งออก
ความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงความคิดเห็นของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับการส่งผลต่อเศรษฐกิจโลก จากกรณีการบรรลุข้อตกลงการค้าเสรี สหรัฐฯ-เม็กซิโก-แคนาดา (United States-Mexico-Canada Agreement-USMCA)
พบว่า ผู้บริหารระดับสูง ร้อยละ 44.55 ระบุว่า ส่งผลดี คือ เป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ความตึงเครียดด้านการค้าโลกให้คลี่คลายลง ร้อยละ 20.91 ระบุว่า ส่งผลเสีย จากเดิมที่การเจรจาการค้าอยู่ในรูปแบบพหุภาคี แต่ในปัจจุบันมีแนวโน้มว่าจะทำข้อตกลงเป็นรายประเทศแทน และร้อยละ 34.54 ระบุว่า ไม่แน่ใจ
ข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผู้บริหารระดับสูงเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมไทยปี 2562
สามารถสรุปได้ ดังนี้
1) รัฐบาลควรมีมาตรการต่าง ๆ เพื่อช่วยเหลือ ส่งเสริม หรือสนับสนุนผู้ประกอบการ ทั้งทางตรง และทางอ้อม เช่น ส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวของไทย ส่งเสริมการอบรมพัฒนาฝีมือของผู้ใช้แรงงาน ส่งเสริม การสร้างรายได้ในชนบท ส่งเสริมด้านการเกษตร การพัฒนาธุรกิจ SMEs อย่างต่อเนื่อง ส่งเสริมการลงทุนของ นักลงทุนไทยและต่างชาติ
2) ส่งเสริมการลงทุนในเครื่องจักรและอุปกรณ์เพื่อกระตุ้นการลงทุนของภาคเอกชน
3) มีมาตรการสนับสนุนด้านภาษีหรือทางการเงินเพื่อการส่งออกต่าง ๆ เช่น อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การยื่น
เอกสารต่างๆ ให้มีความคล่องตัว การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้แก่ธุรกิจโลจิสติกส์ที่ให้บริการแก่บริษัทส่งออก ลดอัตราภาษีการส่งออกชายแดน ค่าเงินและระวางเรือ
4) แก้ไขกฎระเบียบของภาครัฐให้ผู้ประกอบการสามารถดำเนินกิจการได้คล่องตัวมากกว่านี้
เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 56.36 เป็นผู้ประกอบการจากภาคกลาง ร้อยละ 5.46 เป็นผู้ประกอบการจากภาคเหนือ ร้อยละ 10.00 เป็นผู้ประกอบการจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ร้อยละ 8.18 เป็นผู้ประกอบการจากภาคตะวันออก ร้อยละ 12.73 เป็นผู้ประกอบการจากภาคใต้ และร้อยละ 7.27 ไม่ระบุภูมิภาค