Solar Cell - โอกาสใหม่ของไทยในวันที่ไร้ตลาดสหรัฐ

Solar Cell - โอกาสใหม่ของไทยในวันที่ไร้ตลาดสหรัฐ

อัปเดตล่าสุด 17 มิ.ย. 2568
  • Share :

สหรัฐฯ สั่งเก็บภาษีนำเข้าโซลาร์เซลล์จากไทยสูงสุดเกือบ 1,000% กระทบหนักอุตสาหกรรมไทย เหตุใช้ไทยเป็นฐานผลิตหลบเลี่ยงภาษีจีน ภาครัฐเร่งหาตลาดใหม่ ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสหรัฐฯ

ผลกระทบของมาตรการภาษี AD/CVD ของสหรัฐฯ ต่ออุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทย

เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2025 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ได้ประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti - Dumping and Countervailing Duties: AD/CVD) ขั้นสุดท้ายต่อสินค้าแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจาก 4 ประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และไทยอย่างเป็นทางการ เพื่อต่อต้านจีนที่ต้องการหลบเลี่ยงภาษีโดยใช้ประเทศเหล่านี้เป็นฐานการผลิตและส่งออกไปสหรัฐฯ การประกาศบังคับใช้ครั้งนี้ ไทยถูกกำหนดอัตราภาษีรวมสูงถึงร้อยละ 375.19 - 972.23 ซึ่งถือเป็นกำแพงการค้าที่รุนแรงที่สุดเท่าที่สหรัฐฯ เคยบังคับใช้กับสินค้าโซลาร์เซลล์ไทย โดยบริษัทโซลาร์เซลล์ไทยที่โดนข้อหาดังกล่าว ได้แก่ บริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด (ถูกเรียกเก็บภาษีที่ร้อยละ 375.19) บริษัท ซันไชน์ อิเลคทริคอล เอ็นเนอร์จี้ จำกัดและบริษัท ไท่ฮั้ว นิว เอ็นเนอร์ยี (ไทยแลนด์) จำกัด (ถูกเรียกเก็บภาษีที่ร้อยละ 972.23) และบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อเจาะจง (ถูกเรียกเก็บภาษีที่ร้อยละ 375.19)  การประกาศบังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) ดังกล่าว คาดว่าจะกระทบต่อการส่งออกของอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากสหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกหลักในสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทย 

จากข้อมูลมูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ ของไทยระหว่างปี 2017 - 2024 (ภาพที่ 1) พบว่าในช่วงปี 2017 - 2021 การส่งออกของไทยยังอยู่ในระดับไม่สูงมากนัก ก่อนจะเริ่มขยายตัวอย่างมีนัยสำคัญในปี 2022 - 2023 ซึ่งมีแนวโน้มสอดคล้องกับการที่สหรัฐฯ ออกมาตรการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์จาก 4 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย เวียดนาม กัมพูชา และไทย เป็นระยะเวลา 24 เดือน ตั้งแต่วันที่ 6 มิถุนายน 2022 ถึงวันที่ 6 มิถุนายน 2024 ส่งผลให้ผู้ประกอบการเร่งส่งออกสินค้าดังกล่าวมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ในปี 2024 ไทยมีมูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์เท่ากับ 2,838 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหดตัวร้อยละ 35.9 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่คาดว่ามีส่วนทำให้การส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยปรับตัวลดลง คือ การสิ้นสุดลงของมาตรการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวในเดือนมิถุนายน 2024 โดยมูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ไปสหรัฐฯ ของไทยเท่ากับ 2,414 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือหดตัวร้อยละ 25.1 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

 

จากภาพที่ 2 ซึ่งแสดงสัดส่วนการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปยังสหรัฐฯ ปี 2017 และปี 2024 พบว่า ไทยมีการพึ่งพาตลาดสหรัฐฯ เพิ่มสูงขึ้นอย่างชัดเจน โดยในปี 2017 ก่อนที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีเซฟการ์ด สัดส่วนการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปสหรัฐฯ อยู่ที่ร้อยละ 48.2 ส่วนการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปยังตลาดอื่น ๆ ที่เหลืออยู่ที่ร้อยละ 51.8 ขณะที่ในปี 2024 แม้ว่าจะเป็นช่วงสิ้นสุดมาตรการยกเว้นการเก็บภาษีนำเข้าชั่วคราวของสหรัฐฯ แต่สัดส่วนการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญจากปี 2017 โดยเพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 85.1 ขณะที่สัดส่วนการส่งออกไปยังตลาดอื่นปรับลดลงเหลือเพียงร้อยละ 14.9 สะท้อนให้เห็นถึงความเสี่ยงเชิงโครงสร้างจากการกระจุกตัวของตลาดส่งออก และการพึ่งพาสหรัฐฯ ในระดับสูง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทย หากสหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการภาษีตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (AD/CVD) กับไทย

นอกจากนี้ จากข้อมูลตัวอย่างรายชื่อผู้ประกอบการไทยที่ส่งออกสินค้าแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนไปสหรัฐฯ ปี 2024 (ภาพที่ 3) พบว่า บริษัทสัญชาติจีนอย่างบริษัท ซันไชน์ อิเลคทริคอล เอ็นเนอร์จี้ จำกัด และบริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทที่สหรัฐฯ ระบุรายชื่อในการประกาศเรียกเก็บภาษีในอัตราร้อยละ 972.23 และ 375.19 ตามลำดับ และมีการส่งออกสินค้าทั้ง 2 กลุ่มไปยังสหรัฐฯ 

ทำไมบริษัทโซลาร์เซลล์ในไทยจึงถูกสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีในอัตราที่สูงถึงร้อยละ 972.23

การที่สหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าสินค้าแผงโซลาร์เซลล์และชิ้นส่วนจากไทยในอัตราสูงถึงร้อยละ 375.19 - 972.23 นั้น อาจเนื่องมาจากหลายปัจจัยที่สัมพันธ์กัน เช่น กฎหมายการค้าระหว่างประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน เป็นต้น โดยสหรัฐฯ มีความกังวลว่าบริษัทโซลาร์เซลล์สัญชาติจีนที่เคยถูกสหรัฐฯ กำหนดภาษีตอบโต้การทุ่มตลาด (Anti - Dumping) และการอุดหนุน (Countervailing Duties) ตั้งแต่ปี 2012 และ 2014 อาจพยายามหลบเลี่ยงมาตรการเหล่านี้โดยการย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ 3 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไทย เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา สะท้อนจากมูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปสหรัฐฯ ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดภายในระยะเวลาเพียง 7 ปี (ปี 2017 - 2023) จากมูลค่าเพียง 420 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2017 เพิ่มขึ้นเป็น 3,223 ล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2023 หรือคิดเป็นการขยายตัว ประมาณ 7.7 เท่า ทำให้สหรัฐฯ สงสัยว่า บริษัทโซลาร์เซลล์สัญชาติจีนในประเทศดังกล่าวอาจนำเข้าวัตถุดิบหลักจากจีนเข้ามาสวมสิทธิ์แหล่งกำเนิดสินค้าเพื่อส่งออกไปยังสหรัฐฯ ซึ่งนั่นหมายความว่าประเทศเหล่านี้อาจเป็นเพียงฐานการผลิตทางอ้อมของจีนเท่านั้น 

จนในปี 2022 สหรัฐฯ ได้เริ่มการไต่สวนข้อหาการหลบเลี่ยงมาตรการทุ่มตลาดและการอุดหนุนของทั้ง 4 ประเทศดังกล่าว ซึ่งผลสรุปพบว่า ผู้ผลิตจากไทยบางรายมีพฤติกรรมเข้าข่ายนี้ ซึ่งถือเป็นการหลบเลี่ยงภาษีโดยอ้อม โดยบริษัทโซลาร์เซลล์ไทยที่โดนข้อหาดังกล่าว ได้แก่ บริษัท ทรินา โซลาร์ ไซเอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท ซันไชน์ อิเลคทริคอล เอ็นเนอร์จี้ จำกัด บริษัท ไท่ฮั้ว นิว เอ็นเนอร์ยี (ไทยแลนด์) จำกัด และบริษัทอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุชื่อเจาะจง 

การวิเคราะห์ศักยภาพในการขยายตลาดส่งออกโซลาร์เซลล์ของไทยภายใต้บริบทของการกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

ภายหลังจากที่สหรัฐฯ ได้ประกาศบังคับใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาดและการอุดหนุน (Anti-Dumping and Countervailing Duties: AD/CVD) อย่างเป็นทางการต่อการนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงไทย โดยกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่สูงถึงร้อยละ 375.19 - 972.23 เมื่อวันที่ 21 เมษายน 2025 ส่งผลให้โอกาสในการส่งออกสินค้าดังกล่าวของไทยไปยังตลาดสหรัฐฯ แทบเป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ

สำหรับสหรัฐฯ นั้น ถือเป็นตลาดหลักของสินค้าโซลาร์เซลล์จากไทย คิดเป็นร้อยละ 85.1 ของการส่งออกทั้งหมด ซึ่งหากผู้นำเข้าสหรัฐฯ ยุติการนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์จากไทยหรือผู้ประกอบการไทยระงับการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐฯ อันเป็นผลมาจากอัตราภาษีที่สูง ย่อมนำไปสู่การสูญเสียตลาดสหรัฐฯ และก่อให้เกิดความเสี่ยงเชิงโครงสร้างของอุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทย อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาแนวโน้มการค้าโลกในเชิงเปรียบเทียบ ยังพบช่องว่างและโอกาสในตลาดโลกที่ไทยสามารถใช้เป็นพื้นที่ในการขยายตลาดทดแทน

การประเมินโอกาสในการขยายตลาดส่งออกสามารถวิเคราะห์ได้โดยการวิเคราะห์แนวโน้มเชิงปริมาณ (Trend Line) ซึ่งถ้าผลต่างระหว่างมูลค่าการนำเข้าโซลาร์เซลล์ ของโลกและมูลค่าการนำเข้าของสหรัฐฯ มากกว่ามูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปสหรัฐฯ หมายความว่า ไทยยังมีโอกาสขยายตลาดส่งออกไปส่วนอื่นได้แทนตลาดสหรัฐฯ

หากพิจารณาแนวโน้มการนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์ของโลก (ไม่รวมสหรัฐฯ) ในลักษณะของเส้นแนวโน้ม (Trend Line) ดังภาพที่ 4 จะพบว่า ในปี 2025 ตลาดโลก (ไม่รวมสหรัฐฯ) มีแนวโน้มนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์ 33,853 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งหดตัวร้อยละ 8.82 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อย่างไรก็ตาม มูลค่าการนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์ของโลก (ไม่รวมสหรัฐฯ) ยังคงสูงกว่า 3,380 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นมูลค่าการส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปสหรัฐฯ อยู่หลายเท่าตัว บ่งชี้ถึงช่องว่างตลาดที่สามารถรองรับการขยายตัวของการส่งออกจากไทยได้อีกมาก ทั้งนี้ มูลค่าการส่งออกของไทยดังกล่าวอยู่ภายใต้ข้อกำหนดที่ว่ายังไม่ได้มีการบังคับใช้มาตรการ AD/CVD ของสหรัฐฯ โดยการส่งออกมีแนวโน้มขยายตัวร้อยละ 41.6 ซึ่งหากไทยยังคงต้องการส่งออกให้ได้ตามอัตราการขยายตัวข้างต้นอย่างต่อเนื่องทั้งในระยะกลางถึงระยะยาว ไทยจะต้องหาตลาดใหม่เพื่อทดแทนสหรัฐฯ

ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย

ในสถานการณ์ที่ไทยต้องเผชิญกับมาตรการทางภาษีที่สูงจากสหรัฐฯ และต้องเร่งปรับตัวเพื่อขยายตลาดส่งออกสินค้าโซลาร์เซลล์ไปยังตลาดที่ยังมีศักยภาพ ภาครัฐควรเร่งออกมาตรการสนับสนุนอย่างการเร่งเจรจา FTA หรือ MOU กับประเทศเป้าหมายเพื่อลดภาษีหรืออำนวยความสะดวกการค้า โดยเฉพาะประเทศที่ให้ความสำคัญกับการใช้พลังงานทดแทนและยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์จากต่างประเทศ เช่น

  • อินเดีย ยังคงต้องพึ่งพาการนำเข้าโมดูลพลังงานแสงอาทิตย์ อินเวอร์เตอร์ และวัตถุดิบ (โพลีซิลิคอน) เป็นอย่างมาก โดย P&S Intelligence ได้คาดการณ์ว่า ในปี 2030 ตลาดสินค้าโซลาร์เซลล์ของอินเดียจะมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ 24.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มจากปี 2024 ที่มีมูลค่าตลาดอยู่ที่เพียง 11.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) ร้อยละ 13.4 ทั้งนี้ ในปี 2024 อินเดียมีการนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์จากไทยมากเป็นอันดับที่ 3 หรือร้อยละ 3.63 สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพและโอกาสในการขยายส่วนแบ่งทางการตลาดของไทยในตลาดอินเดียได้เพิ่มเติม
  • ยุโรป แนวโน้มการขยายตลาดสินค้าโซลาร์เซลล์ของไทยไปยังสหภาพยุโรปมีความเป็นไปได้มากขึ้น จากปัจจัยด้านกฎระเบียบและทิศทางนโยบายของสหภาพยุโรปที่ให้ความสำคัญกับสิทธิมนุษยชนและจริยธรรมในห่วงโซ่อุปทาน โดยในปี 2024 สหภาพยุโรปได้ออกกฎหมายฉบับใหม่ชื่อ The Forced Labour Regulation ซึ่งห้ามนำเข้าสินค้าใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้แรงงานบังคับ โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 14 ธันวาคม 2567 นอกจากนี้ บริษัทพลังงานที่จัดตั้งโดยรัฐบาลสหราชอาณาจักรอย่าง Great British Energy ก็ได้ประกาศชัดเจนว่าจะไม่จัดซื้อหรือสั่งนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากจีน ซึ่งเป็นตลาดนำเข้าหลักของสหภาพยุโรป เนื่องจากมีรายงานและหลักฐานเกี่ยวกับการใช้แรงงานบังคับในอุตสาหกรรมการผลิตแผงโซลาร์เซลล์ของจีน ซึ่งอาจทำให้ผู้นำเข้าในสหภาพยุโรปเลือกนำเข้าจากประเทศอื่น ๆ แทน 
    ไทยจึงอาจมีโอกาสก้าวขึ้นมาเป็นแหล่งนำเข้าสินค้าโซลาร์เซลล์ที่น่าเชื่อถือสำหรับยุโรป หากสามารถรักษามาตรฐานแรงงานและความโปร่งใสในกระบวนการผลิตได้อย่างเข้มงวด

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าไทยจะยังมีโอกาสในการขยายตลาดส่งออก แต่อาจต้องคำนึงถึงระดับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นจากประเทศอื่น ๆ ที่เผชิญกับมาตรการกีดกันจากสหรัฐฯ เช่นเดียวกับไทย อาทิ จีน เวียดนาม มาเลเซีย และกัมพูชา ซึ่งสามารถส่งออกไปยังตลาดเดียวกับไทยได้เช่นกัน รวมถึงขนาดตลาดที่เหลือของแต่ละประเทศอาจไม่ใหญ่มากหรือมีอัตราการขยายตัวที่จำกัด ซึ่งไม่เพียงพอที่จะชดเชยมูลค่าตลาดสหรัฐฯ ที่หายไป

สรุป

จากการที่อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทยพึ่งพาตลาดส่งออกหลักอย่างสหรัฐฯ เพียงตลาดเดียว ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึงร้อยละ 85.1 ของการส่งออกทั้งหมด ส่งผลให้เมื่อสหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการกีดกันทางการค้า อุตสาหกรรมโซลาร์เซลล์ไทยจึงได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในด้านมูลค่าการส่งออกที่ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ตลาดโลกยังมีช่องว่างให้ไทยขยายการส่งออกได้ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดในประเทศอื่น ๆ ยังคงมีความต้องการสูง และเป็นโอกาสสำคัญที่ไทยสามารถเร่งขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้ หากมีการกำหนดกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการเจาะตลาดใหม่รวมไปจนถึงการพัฒนาขีดความสามารถการแข่งขันทั้งด้านคุณภาพมาตรฐานและการตอบสนองต่อกฎระเบียบของประเทศคู่ค้า ซึ่งจะทำให้ไทยจะสามารถพลิกวิกฤตการกีดกันทางการค้าให้กลายเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจในระยะกลางถึงระยะยาวได้


     

บทความนี้จัดทำโดย

แผนกนโยบายและแผน ศูนย์ข้อมูลเชิงลึกอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (E&E Intelligence Unit: EIU) สถาบันไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ (EEI)

 

อัปเดตข่าวทุกวันที่นี่ www.mreport.co.th   

Line / Facebook / X / YouTube @MreportTH